Feeds:
เรื่อง
ความเห็น

  food3
         

ช่วงนี้เป็นช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี ค้าขายไม่คล่อง คนตกลงานกันเยอะ อากาศก็ร้อนมากกว่า
ทุก ๆ ปี ทำให้ผู้คนทั้งหลายหงุดหงิด อารมณ์ไม่ดี แถมบรรยากาศทางการเมือง ยังคุกรุ่นไปด้วย
ความขัดแย้ง ดูแล้วบ้านเมืองเต็มไปด้วยความทุกข์ ทำยังไงกันดีล่ะครับ ประชาชนถึงจะหาทาง
ออกได้ ต้องพึ่งพาอาศัยรัฐบาลกันดีไหม? แต่อย่าเลยดีกว่าครับ ปล่อยให้รัฐบาลท่านทำงาน
ของท่านไปให้ดีก็แล้วกัน ให้เอาตัวให้รอดก่อนนะครับ

         เมื่ออาทิตย์ก่อนผมไปทำธุระที่โรงพยาบาลพญาไท 1 ในระหว่างที่นั่งรอหมอ ก็ได้หยิบ
หนังสือของโรงพยาบาลขึ้นมาเล่มหนึ่ง พลิกไปเจอบทความเรื่อง “อาหารที่ทำให้อารมณ์ดี”
น่าสนใจมากครับ ผมนึกถึงบรรยากาศที่บ้านเมืองและเศรษฐกิจจะเป็นเช่นนี้ น่าจะเป็นทาง
ออกให้คนบ้านเราได้ ผมขอเล่าโดยสรุปก็แล้วกันนะครับ

          บทความเรื่องนี้ บอกว่าสถาบันวิจัยอาหารในภาคใต้ของอังกฤษพบว่า “อาหารเป็นสิ่ง
จำเป็นต่อร่างกายและจิตใจเป็นอย่างมาก โดยมีผลอย่างรวดเร็วต่อความตื่นตัว ว่องไว ระดับ
พลังงาน ความจำ และสมาธิ ทั้งยังสามารถช่วยลดความซึมเศร้าได้ สารอาหารที่เราได้กัน
เข้าไป จะส่งผลกระทบต่ออารมณ์และการทำงานด้านจิตใจของคนเรา”
  “คาร์โบไฮเดรตทำให้เกิดความสงบ สบาย โปรตีน ทำให้ตื่นตัว ว่องไว”

          เห็นไหมครับ อาหารมีส่วนกระตุ้นสมองและอารมรณ์ สมองเป็นศูนย์บัญชาการของ
ร่างกาย มีเซลนับพันล้านเซล เชื่อมต่อกันเป็นวงจร สลับซับซ้อน มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน
ไปตามเซลประสาทหนึ่งไปสู่อีกเซลหนึ่ง โดยสารสื่อ 2 ชนิดคือ โดปามีน (Dopamine)
และเซโรโทนิน (Serotonin)
         โดปามีน (Dopamine) มันคือสารเคมีทางสมองที่ได้มาจากอาหารโปรตีน ซึ่งมีผล
ในการกระตุ้นเซลสมองให้มีสมาธิ และความว่องไว
         ส่วนเซโรโทนิน  มันคือสารเคมีในสมองที่ได้มาจากอาหารคาร์โบไฮเดรต   ซึ่งมีผล
ทำให้สมองเกิดความสงบระงับ และบรรเทาความเครียด วิตกกังวล ไม่รู้สึกหงุดหงิด ว้าเหว่
เศร้าซึม สับสน ลืมง่าย หรือโมโหร้าย

 pp1

         คราวนี้ท่านคงอยากรู้แล้วใช่ไหมว่า แล้วไอ้พวกที่ว่านี้ มันอยู่ในอาหารอะไรบ้างล่ะ
บอกได้เลยครับ
         1.  ปลาแซลมอน
         2. ปลาแม็กคาเรล
         3. น้ำมันคาโนลา (Canola oil)
         4. ผักโขม
         5. ถั่วสด (Chicpeas)
         6. ไก่
         ผมขออธิบายเพิ่มเติมอย่างละนิดนะครับ เพื่อให้เกิดความเข้าใจเพิ่มขึ้น คือ ปลาแซลมอน
จะมีโอเมก้า 3 มาก ช่อยป้องกันโรคหัวใจ มะเร็ง และทำให้อารมณ์ดี แถมยังต้านอนุมูลอิสระ
ปลาแม็กคาเรล มีโอเมก้า 3 มากเช่นกัน น้ำมันคาโนลา มีวิตามินอีมาก ทำให้อารมณ์สดชื่น
แจ่มใส ควรนำมาใช้ทอดปลาแซลมอน หรือทำอาหารสุขภาพรับประทาน ผักโขม เป็นผักใบ
สีเขียวเข้ม มีโฟเลตสูงช่วยให้อารมรณ์ของคนเราอยู่ในระดับปกติ ถั่วสด มีโฟเลตสูง มีวิตามิน
และมีไฟเบอร์ ถั่ว Chickpeas มีโปรตีนสูง มีไขมันต่ำ มีโฟเลตสูง มีไฟเบอร์ไอออน (Ion)
มีวิตามินมาก ที่สำคัญคือรสอร่อยครับ  สุดท้ายก็คือ ไก่ ควรรับประทานตรงเนื้อหน้าอก ล้วนๆ
ไม่เอาหนังนะครับ จะได้โปรตีนสูงมาก มีวิตามินบี 6 มาก และช่วยสร้างเซโรโทนิน

          ขอให้ทุกท่านลองไปหารับประทานกันดูนะครับ ถ้าเป็นไปได้จะจัดงานและให้มีอาหาร
ประเภทนี้ทั้งหมด เลี้ยงนักการเมืองบ้านเราดูสักครั้ง จะทำให้เขาขัดแย้งกันน้อยลงหรือเปล่า?
 

 

 

 

 

 

                             

โดย ประพัทธ์โชต ธนวรศาสตร์ 


66891
              เมื่อ 2 วันก่อน ผมได้ฟังการแถลงข่าวของท่าน ดร.อำพน กิตติอำพน เลขาธิการคนเก่งแห่งสภาพัฒน์ (สศช.)  ดูท่าทางแข็งขัน จริงจัง เสียงดังฟังชัดว่าเศรษฐกิจไทย ในปีนี้จะติดลบ 1 ถึง 0%  และเป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ  10 ปี   นับจากปี  2541 เป็นต้นมา

             ครับ ยังไงก็ต้องเชื่อท่าน  เพราะดูแนวโน้มจากภาคการค้าและภาคเศรษฐกิจ โดยทั่วไปของภาคเอกชน ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น   เพราะภาคการส่งออกของเราส่งออกได้น้อยลง การลงทุนขยายตัวน้อย ก็เนื่องจากการบริโภคมีดัชนีที่ปรับตัวลดลง ก็แล้วมันมีสาเหตุมาจากอะไรหรือครับ คำตอบก็คือ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกมันหดตัวลง  โดยอยู่ระหว่าง –0.5 ถึง  0.5%  โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่เป็นหัวขบวนทางเศรษฐกิจ อย่างเช่น อเมริกา-1.6%  ถึง 2.3% สหภาพยุโรป –ถึง –2.5% อังกฤษ –2.8  ถึง-3.2% ญี่ปุ่น –2.6 ถึง-3%  สิงคโปร์ –3.8% ฮ่องกง -3.8% ไต้หวัน –3%  เกาหลีใต้ –3.5%

               การผลิตสินค้าในไทย พึ่งพาตลาดต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ บริโภคกันเองในประเทศไม่สูงมากนัก  เมื่อต้องขายให้กับต่างประเทศมากก็มีปัญหาเพราะต่างประเทศที่เคยซื้อสินค้าไทยต้องกลับมาจนกันหมด  เขาจะต้องซื้อสินค้าเราน้อยลง หรือยกเลิกการซื้อสินค้าบางประเภทที่ไม่มีความจำเป็น นี่แหละครับ! คือ ความลำบากของนักธุรกิจไทย สินค้าใดที่พอขายได้ก็ยังพอประทังไปได้บ้าง สินค้าชนิดใดที่เขาเลิกซื้อ  ก็ต้องปิดโรงงานกันไป พนักงานลูกจ้างก็ต้องตกงาน รัฐบาลก็ต้องเดือดร้อนไปตามระเบียบ

                ใครมาเป็นรัฐบาลในช่วงนี้ ก็ต้องตกอยู่ในฐานะที่ลำบากด้วยกันทั้งสิ้น แต่ผมมั่นใจอยู่ประการหนึ่งคือ ประเทศไทยทั้งภาคเอกชนและรัฐบาลเรามีประสบการณ์กันมาแล้วในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ประสบการณ์ที่ผ่านมาจะทำให้เราตั้งรับได้ดีกว่าประเทศอื่น  จะเห็นได้ว่าภาคเอกชนเราทราบล่วงหน้ามาแล้วว่า สถานการณ์จะเป็นเช่นนี้ หลายบริษัทเตรียมตัว ปรับตัวมาตั้งแต่  เดือนที่แล้ว โดยการลดต้นทุน ลดสต๊อก ลดการนำเข้าวัตถุดิบลดปริมาณการผลิต และเตรียมความพร้อมด้านสภาพคล่องของเงิน คือ พูดง่ายๆ ทำให้ตัวเบาลงจะได้อยู่รอดในช่วงวิกฤตนี้ไปก่อน

                 อย่างไรก็ตาม วิกฤตครั้งนี้เป็นวิกฤตของโลก   ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยประเทศเดียว การแก้ไขจึงไม่ง่าย จะต้องอาศัยรัฐบาลทุกรัฐบาล     ทั่วโลก  พร้อมใจกันแก้ปัญหาจึงจะทุเลาลงได้ ลำพังรัฐบาลไทยเพียงรัฐบาลเดียว  ผมยืนยันได้เลยว่าไม่มีทางสำเร็จ  ดังนั้น ประเทศต่างๆ จึงได้เตรียมหารือร่วมกัน และมีมาตรการร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหา เช่น ประเทศในกลุ่มอาเซียนของเรา ก็กำลังจะมีประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนเร็วๆ
 นี้ที่หัวหินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์  ผมเชื่อว่าจะมีมาตรการอะไรดี    ออกมาให้พวกเราได้เห็นกัน ขอให้คอยฟังข่าวดีนะครับ

               ภาคเอกชนคาดการณ์กันว่าวิกฤตคราวนี้กว่าจะฟื้นตัวได้ใช้เวลาไม่น้อยกว่า  1 ปี และจะให้กลับมามีสภาพเดิมจะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า  5 ปี อันนี้ไม่ได้มาเล่าให้เกิดความกลัวหรือวิตกกังวลนะครับ ถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริง พวกเราก็ต้องจะระมัดระวังมากขึ้น รอบคอบมากขึ้น และไม่ตกอยู่ในความประมาท ก็จะทำให้พวกเราอยู่รอดได้ ขอให้ทุกท่านมีกำลังใจและเข้มแข็งไว้นะครับ เราต้องเชื่อมั่นในประเทศไทยของเราว่าอยู่รอดได้แน่นอนครับผมว่าวิกฤตครั้งนี้ไม่ได้สร้างความเลวร้าย และความเจ็บปวดให้เราอย่างเดียว แต่ยังสร้างบทเรียนและประสบการณ์ที่มีคุณค่าให้เรา น่าจะทำให้เราเข้มแข็งมากขึ้น

 

โดย
ประพัทธ์โชต  ธนวรศาสตร์

pachatippatai


โดย ประพัทธ์โชต ธนวรศาสตร์
                    อยู่ ๆ ก็มีข่าวพรรคเพื่อไทยเตรียมเสนอกฎหมายนิรโทษกรรม เพื่อล้างมลทิน
ให้กับผู้กระทำผิด ทั้งก่อน  19 กันยายน  และหลัง 19 กันยายน 2550   ฟังดูหลักการเผิน ๆ
ถ้าไม่ทราบรายละเอียด ก็น่ารับฟังไม่น้อย เพราะอ้างหลักความสมานฉันท์ให้กับคนในชาติ
บ้านเมืองที่กำลังขัดแย้งกันอยู่ในเวลานี้

 

                  ผมรู้สึกเป็นห่วงอยู่หลายประเด็นด้วยกัน โดยเฉพาะหลักการสำคัญคือ หลักของ
การออกกฎหมายที่จะต้องออกเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ของประเทศ นี่แค่เพียงหลักเดียว
ก็ยังสร้างความสงสัยให้กับคนทั้งประเทศเสียแล้ว ว่าทำไม ส.ส.ที่ได้รับการเลือกตั้งมาจาก
ประชาชน จึงได้ตัดสินใจออกกฎหมายที่ดูแล้วไม่น่าจะเป็นประโยชน์กับประชาชนเอาเสียเลย
 
                  จากการพูดคุยกับคนในหลายวงการ ก็มีข้อสงสัยอีกมากมาย หลายประการ ผม
ขอนำข้อสงสัยมานำเสนอ เพื่อให้ท่านทั้งหลายรวมทั้งรัฐบาลและส.ส.ได้นำไปคิดและพิจารณา
ว่าสิ่งที่ท่านกำลังจะทำนั้น มันถูกหรือผิด และเป็นประโยชน์กับชาติบ้านเมืองมากน้อยเพียงใด

                ข้อสงสัยประการแรก  พรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชน รวมถึงพรรค
การเมืองอื่นที่ถูกยุบนั้น เป็นพรรคการเมืองที่ทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญใช่หรือไม่  ถ้าใช่ก็
หมายถึงท่านได้กระทำผิด ตามคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ การออกกฎหมายนิรโทษกรรม
ก็เท่ากับเป็นการลบล้างคำพิกษาของศาลรัฐธรรมนูญใช่หรือไม่ ถ้าใช่ก็เท่ากับว่ากฎหมาย
รัฐธรรมนูญและคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญก็ไร้ความหมาย  ไร้ความศักดิ์สิทธิ์ หมดความ
น่าเชื่อถือ รวมทั้งนักการเมืองทั้งหลายที่ร่วมกันกระทำในครั้งนี้ ก็ไม่น่าเชื่อถือด้วยเช่นกัน
ใช่หรือไม่

                ข้อสงสัยประการที่สอง  การออกกฎหมายในลักษณะนี้ ทำไมไม่ให้ผู้เกี่ยวข้อง
หรือผู้มีส่วนได้เสียเข้ามามีส่วนร่วม แต่นี่ผู้เสนอกับผู้ได้รับประโยชน์กลับเป็นคนกลุ่มเดียวกัน
ประชาชนจะไว้ใจได้อย่างไร ท่านลองคิดดูซิว่ากลุ่มญาติพี่น้องของคนที่ถูกฆ่าตัดตอน
2,5000 ศพ เขาจะยอมหรือ กลุ่มญาติ พี่น้องของเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551
จะยอมได้หรือไม่ ในเมื่อเขามีแต่เสียประโยชน์ และเมื่อมีแต่เสียงคัดค้านความปรองดอง
จะเกิดขึ้นได้อย่างไร

                  ข้อสงสัยประการที่สาม  ในเมื่อประเทศกำลังเผชิญปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ
ประเทศกำลังขาดความเชื่อมั่น ทำไมท่านทั้งหลายจึงไม่ร่วมไม้ ร่วมมือ ร่วมใจกัน
แก้ปัญหาให้กับประชาชน แทนที่จะเร่งออกกฎหมายที่เป็นประโยชน์กับประชาชน
กลับมัวแต่เล่นเกมถ่วงเวลา นับองค์ประชุมกันอยู่ตลอดเวลา มันชี้ให้เห็นว่า ถ้า
ประชาชนเดือนร้อนท่านไม่สนใจ แต่ถ้าพวกท่านเดือดร้อน ท่านจะต้องออกกฎหมาย
เพื่อแก้ปัญหาทันที แล้วอย่างนี้ ท่านทำเพื่อชาติหรือทำเพื่อตัวท่านเองกันล่ะ

                ข้อสงสัยประการที่สี่ เมื่อท่านทำผิดแล้วบอกว่าไม่ผิด โดยการออกกฎหมาย
ล้างความผิดให้ตนเองได้ เพราะมีพวกมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ บรรดานักโทษที่ติดคุกนับ
แสนคนในขณะนี้ พร้อมทั้งบรรดาญาติ พี่น้อง จะขอออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับ
ตนเองบ้างได้หรือไม่ เพราะเขาก็มีสิทธิอ้างความปรองดองได้มิใช่เหรือ ถ้าบอกว่าเขา
ทำไม่ได้แล้วจะเป็นธรรมกับพวกเขาได้อย่างไร

                ข้อสงสัยเหล่านี้ ผมว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน รัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลต้อง
ตั้งหลักให้ดี คิดให้รอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจ เพราะงานนี้คนที่ได้รับประโยชน์ไม่ใช่
ประชาชนส่วนใหญ่อย่างแน่นอน แต่กลับเป็นนักการเมืองที่ทำผิดอย่างเต็ม ๆ งานนี้
ถ้ารัฐบาลตัดสินใจผิดพลาด และหลงเล่นตามเกม ก็เชื่อผมได้เลยว่า ท่านก็จะเป็น
อีกหนึ่งรัฐบาลที่มีอายุสั้นที่สุด

เมื่อวันอังคารที่ 22 มกราคมที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีชุดพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ประชุมกันเป็นนัดสุดท้าย เป็นการบอกสาธารณชนทั้งหลายว่า รัฐบาลนี้ได้หมดบทบาทและหน้าที่ลงแล้ว รัฐมนตรีแต่ละท่านเตรียมเก็บของใช้ส่วนตัวกลับบ้านไปด้วยความโล่งอก สบายตัวที่ได้พ้นภาระกันเสียที

ถึงแม้ว่ารัฐบาลชุดนี้จะจากไป แต่ก็ไม่ได้จากไปพร้อมกับปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งยังคงค้างคาไว้ให้รัฐบาลชุดใหม่มารับภาระต่อไปอย่างมากมาย และในช่วงปลายรัฐบาลนี้ ปัญหาเศรษฐกิจได้ถาโถมเข้ามาอีกระลอก มีทั้งปัญหาราคาน้ำมัน สินค้าขึ้นราคา ค่าเงินบาทแข็ง ประชาชนหมดอำนาจซื้อ รวมไปถึงแก๊ซหุงต้ม ค่ารถเมล์ ขึ้นราคากันหมด ชาวบ้านรายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ทำให้เศรษฐกิจถดถอยซึมเซา แต่รัฐบาลชุดนี้ ท่านก็มิได้เห็นหรือทำอะไรกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น

โรคเก่าไม่ทันหาย โรคใหม่ก็เข้ามาอีก ครั้งนี้ดูเหมือนจะอาการหนัก เพราะมันเป็นวิกฤติเศรษฐกิจของโลก เกิดจากปัญหา Sub-prime ของอเมริกา ที่มีผลกระทบรุนแรงและกว้างขวางมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งสื่อมวลชนขนานนามว่า “วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์” หรือแม้แต่ “พ่อมดการเงิน” อย่าง จอร์จ โซรอส ยังบอกว่า วิกฤติครั้งนี้ ร้ายแรงที่สุดในรอบ 60 ปี หลังจากสงครามโลกครั้งที่ สองเป็นต้นมาไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง และวิกฤติครั้งนี้มีผลกระทบกับไทยแน่ๆ

ขนาดโรคเก่า เป็นโรคธรรมดาเรายังรักษากันไม่หาย โรคใหม่เป็นโรคสากล ที่มาจากแดนไกล มีอาการรุนแรง เราจะไปเอายาที่ไหนมารักา หมอที่มีอยู่ก็มองไม่เห็นตัวว่า จะมีหมอคนไหนที่มีฝีมือและอาสาเข้ามาช่วยรักษา ผมดูแล้วค่อนข้างจะอ่อนใจเหมือนกัน แต่ยังไม่ท้อใจนะครับ

เมื่อเป็นเช่นนี้ รัฐบาลใหม่ที่จะต้องเข้ามาทำหน้าที่ต่อจากรัฐบาลเก่า ย่อมจะต้องหาขุนคลัง มือเศรษฐกิจที่เก๋าเกมส์ รู้สมุห์ฐานของโรคและรู้วิธีรักษา หรือพูดง่ายๆว่า “มือถึง และ ใจถึง “ มิเช่นนั้นแล้วก้เอาไม่อยู่จริงๆครับ

เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา มีท่านผู้รู้หลายท่านได้ออกมาให้ความเห็นเสนอแนะดีๆหลายประเด็นด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นท่านปรีดิยาธร เทวกุลฯ ท่านดร.โอฬาร ไชยประวัติ ซึ่งมีปรากฎในหน้าสื่อมวลชนไปแล้ว แต่ที่น่าสนใจเป็นพิเศษ คือท่านประมนต์ สุธีวงศ์ของผม ท่านได้ให้ความเห็นไว้ค่อนข้างเป็นรูปธรรมและเป็นทางออกที่น่าจะเป็นไปได้ คือ ท่านเสนอให้รัฐบาลใหม่ ใช้มาตรการทางการคลัง อัดฉีดเงินงบประมาณเข้าไปอีก 80,000 ล้านบาท เพิ่มจากงบประมาณปี 51 ที่มีอยู่1.6 ล้านล้านบาท ขาดดุล 110,000 ล้านบาท ทำให้การขาดดุลงบประมาณอยู่ในระดับไม่เกิน 200,000 ล้านนบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 2.5 ของ GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) งบที่อัดฉีดนี้ ท่านให้จ่ายเป็น 2 ส่วน คือ 40,000 ล้านบาทแรก ให้ใช้กับการลดอัตราภาษีเงินได้ให้ผู้มีรายได้น้อย เพื่อให้เขาเหล่านั้นมีเงินไปใช้จ่าย และชดเชยภาษีบางส่วนและส่งเสริมให้เอกชนรายเล็กๆได้มีการลงทุนสามารถดำรงธุรกิจของตนเองอยู่ได้

ส่วนอีก 40,000 ล้านบาทที่สอง ท่านเสนอให้นำไปสร้างรายได้ในชนบท โดยก่อสร้างสาธารณูปโภค เพื่อให้เกิดการจ้างงานและมีรายได้ไปใช้จ่ายซึ่งรัฐบาลใหม่ที่เข้ามาบริหารประเทศควรจะกำหนดโครงการทันที และก็เร่งรัดให้มีการใช้จ่ายงบประมาณโดยเร็ว

สำหรับมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 ที่ทำอยู่ในปัจจุบัน ท่านบอกว่า หากจะยกเลิกต้องมีมาตรการรองรับ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ต้องไตรตรองให้รอบคอบ ในขณะเดียวกัน ท่านก็ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(แบงค์ชาติ) พิจารณาว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ ซึ่งจะต้องดูผลกระทบค่าเงินบาทและอัตราเงินเฟ้อด้วย หากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อสูง อาจจำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ยลงบ้าง

ผมเข้าใจว่า ที่นำมาเสนอทั้งหมดนี้ ทั้งว่าที่นายกรัฐมนตรีและว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คงจะได้รับทราบบ้างแล้ว และคงจะเตรียมพร้อมเป็นอย่างดีแล้วว่าจะต้องทำอะไรบ้าง หวังว่า หลังได้รับตำแหน่ง ก้นถึงเก้าอี้เมื่อไร ก็ลงมือทำกันได้อย่างเต็มที่เลย 

แต่ถ้าถึงวันนั้น ท่านมาบอกกับพวกเราว่า “ขอศึกษาก่อน” ก็ตัวใครตัวมันนะครับ

child.jpg

สังคมนี้ มีส่วน ที่ยวนยั่ว

ให้เด็กชั่ว  ก่อกรรม  กระทำเข็ญ

พอสังคม  โทรมทรุด  สุดลำเค็ญ

เด็กจึงเป็น  ปัญหา  น่าหนักใจ

หนังเข่นฆ่า  อาฆาต ฉายดาษดื่น

เด็กชมชื่น  จำติด  เป็นนิสสัย

พวกของเล่น  เกณฑ์พนัน  ล้วนจัญไร

เด็กจำไป  เล่นเพลิน  ผลาญเงินตรา

เรื่องลามก  รกเมือง  เฟื่องภาพโป๊

แฟชั่นโชว์  โค้งเว้า  เร้าตัณหา

โรงเรียนติด  ชิดกับ  ไนท์คลับบาร์

เด็กไม่บ้า  ตามผู้ใหญ่  ก็ใจเย็น


ทำอะไรก็ให้นึกถึงเด็กนะครับ … เพราะลูกหลานเราทั้งนั้น

อีกไม่กี่วันจะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และมีนัยว่าเป็นการเลือกนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐบาลไปด้วย ในระยะโค้งสุดท้ายของการหาเสียง เกมส์จึงเต็มไปด้วยลีลา สีสัน และความดุเดือด

โพลของสำนักต่างๆ นำเสนอต่อสาธารณชนผ่านสื่อต่างๆเกือบทุกวัน ทำให้สถานการณ์การแข่งขันทางการเมืองมีความคึกคัก บางครั้งดูเหมือนกับว่ามีความตึงเครียด การแสดงความคิดเห็นต่างๆ ทั้งบนเวทีปราศรัย หรือ การแถลงข่าวต่างก็ใช้วาทะเด็ด เพื่อดึงดูดคะแนนกันอย่างเต็มที่

พรรคไหนมีนโยบายอะไรที่จะเป็นจุดอ่อน ดี เมื่อเปิดออกมาแล้วดัง ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างคะแนนเสียง แต่เท่าที่ดูแล้วเกือบทุกพรรคก็ยังเน้นประชานิยมกันเป็นส่วนใหญ่ มีลด แลก แจก แถมกันอยู่เป็นจำนวนมาก ผมมีความรู้สึกว่า ในสมัยหน้านี้ ใครจะมาเป็นรัฐบาลก็ตาม จะต้องมีการใช้เงินงบประมาณกันเป็นจำนวนมหาศาล

การใช้เงินงบประมาณจำนวนมาก ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ในเมื่อรัฐบาลเป็นผู้ใช้เงินรายใหญ่ มีหน้าที่ใช้ก็ต้องใช้ เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัว หรือมีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ทุกคนต่างก็โหยหา และตั้งความหวังว่า หลังเลือกตั้งเศรษฐกิจจะดีขึ้น

ประเด็นสำคัญนั้นอยู่ที่ว่า ใช้เงินงบประมาณอย่างไรให้เกิดความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพสูงสุด เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนมากที่สุด และเปิดโอกาสให้ฝ่ายต่างๆสามารถตรวจสอบได้อย่างตรงไปตรงมา หรือเป็นไปตามกฏหมายกำหนดก็พอแล้ว แต่ถ้าหลีกเลี่ยงการตรวจสอบแล้วใช้เล่ห์กลทางกฏหมายโต้กันไปมา หรือเบ้ไปเบ้มา จนกระทั่งเกิดกระแสความไม่พอใจออกมาเดินขบวนต่อต้านกันเต็มบ้านเต็มเมือง กล่าวหาซึ่งกันและกันโดยไม่ยอมลดลาวาศอก หรือ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมแพ้ จนกระทั่งนำไปสู่ความร้าวฉานในสังคมมากขึ้นๆทุกขณะ ถึงขนาดพูดกันออกมาเลยว่า “ถ้าไม่เป็นไปตามที่ตนพูดไว้ แผ่นดินจะลุกเป็นไฟแน่นอน”

พวกเราฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจ และอยากจะตั้งคำถามว่า แค่เพียงความเห็นไม่ตรงกัน ถึงขนาดจะทำให้บ้านเมือง “ลุกเป็นไฟ” เชียวหรือ … เพราะอะไร ? ที่พวกท่านทั้งหลายถกเถียงกัน มีความเห็นที่ไม่ตรงกัน “มิใช่ทำเพื่อบ้านเมืองดอกหรือ” แล้วเมื่อต่างฝ่ายต่างทำเพื่อบ้านเมือง ก็แสดงว่า พวกท่านรักบ้านเมือง รักประเทศชาติ แล้วทำไมจะปล่อยให้บ้านเมืองของเราลุกเป็นไฟเสียล่ะ … ผมไม่เข้าใจ !

การที่บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟได้นั้น มันมีอยู่สองพวกด้วยกัน พวกแรกเป็นพวกที่จุดไฟ พวกที่สองเป็นพวกที่ใส่เชื้อเพลิง เมื่อเรารู้ว่าจะมีคนจุดไฟ เราก็ต้องไม่ให้ใครมาเติมเชื้อเพลิง

ถ้าเราสามารถแยกไฟกับเชื้อเพลิงออกจากันได้ ไฟมันก็ไม่ลุกไม่ลามออกไปจนไม่สามารถจะดับได้ ปัญหานี้มันอยู่ที่ว่า ขณะนี้ใครเป็นไฟ และ ใครเป็นเชื้อเพลิง

เราเป็นคนไทยที่มีความรักชาติ รักแผ่นดิน เราต้องใช้ข้อมูล ความรู้ และสติแยกแยะให้ออก และร่วมใจกันอย่างพร้อมเพรียงออกไปดับไฟเพื่อแก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมือง

พลังเงียบซึ่งเป็นพลังความคิด และเป็นพลังที่มีสติปัญญา ต้องแสดงออกร่วมกัน ตัดสินชะตาชีวิตของพวกเรากันเอง ออกมาร่วมกันรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ พร้อมใจกันลงคะแนนเสียงให้เด็ดขาด เสียสละเวลากันเพียงวันเดียว ผมว่ามาถึงวันนี้แล้วทุกอย่างชัดเจนกันพอสมควรว่า จะเลือกใคร
ผมว่าเราต้องตั้งคำถามกับตัวเราเองก่อนครับว่า

1. ใครมีปัญหามากที่สุด เราคิดว่าเขาจะแก้ปัญหาของชาติก่อน หรือจะเลือกแก้ปัญหาของตัวเองก่อน

2. ผู้ที่มีปัญหา ถ้าต้องสาละวนอยู่กับการแก้ปัญหาของตนเอง ก็จะต้องเผชิญกับกลุ่มต่อต้านอย่างไม่รู้จบสิ้น ประเทศชาติจะเดินไปข้างหน้าได้อย่างไร

3. ใครที่ไม่มีปัญหาค้างคา หรือมีปัญหาน้อยที่สุด กลุ่มนี้แหล่ะครับ ที่ผมและพวกกำลังหมายตา และตั้งใจว่าจะไปเลือกเขาเป็นรัฐบาล ในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 นี้ แน่นอน

เพื่อไม่ให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟไงล่ะครับ

oil.jpg

ในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา เราจะพบแต่ข่าวราคาน้ำมันโพสต์ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์มาตลอด  เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลก ขยับไปเกือบ 100 เหรียญดอลล่าร์ต่อบาเรล ส่งผลให้ราคาน้ำมันทั่วโลกสูงขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง เล่นเอาประเทศพม่าเกิดการประท้วงกันยกใหญ่ ประเทศไทยก็ปวดหัวกันไปตามๆกัน โดยเฉพาะผู้ประกอบการและประชาชนผู้ต้องเดินทางไปประกอบอาชีพประจำวันทั้งหลาย

เบื้องต้นรัฐบาลขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ต่อด้วยการยอมให้รถโดยสารทั้งหลายขึ้นค่าโดยสาร ส่วนรถขนส่งสินค้าทั้งหลายไม่ต้องพูดถึง เพราะเขาขึ้นกันไปนานแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ พ่อค้าแม่ค้าทั้งหลาย ก็ทยอยขึ้นสินค้ากันเป็นทิวแถวโดยอ้างว่าต้นทุนมันสูงขึ้น จะทำอย่างไร ไม่อย่างนั้นก็อยู่กันไม่ได้

สินค้าที่ชิงขึ้นราคาล่วงหน้าไปก่อน ส่วนมากจะเป็นสินค้าที่มิได้อยู่ในรายการควบคุมของกระทรวงพาณิชย์ บังเอิญว่า มันเป็นสินค้าที่ชาวบ้านดำรงชีวิตประจำวันเสียด้วย เช่น ข้าวแกง ก๋วยเตี๋ยว อาหารตามสั่งต่างๆ รวมไปถึงเสื้อผ้าต่างๆ ส่วนสินค้าที่ควบคุม 200 รายการ กระทรวงพาณิชย์ได้เชิญไปร่วมหารือกันแล้ว ตกลงกันว่าจะชะลอการขึ้นราคาไปจนกว่าจะตกลงกันได้ในเรื่องต้นทุนที่แท้จริง

ความจริงแล้วในเรื่องต้นทุนที่แท้จริงนั้น มันคงหาไม่ยาก ถ้าตั้งใจจะหากันจริงๆ  เพราะการทำธุรกิจหรือการประกอบอุตสาหกรรมต่างๆ  เขาก็มีการบันทึกต้นทุนกันอยู่แล้ว ซึ่งมันเป็นเรื่องที่โกหกกันไม่ได้ แต่ปัญหาสำคัญมันอยู่ที่ว่า “รัฐบาลชุดนี้จะรักษาการไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้ง”
แล้วทำไมจะมาให้ “รัฐบาลชุดนี้ถูกด่า” ให้เสียเครดิตกันเสียเล่า

ดีครับ … ที่ว่าดีในที่นี่ก็คือ ประการแรก สินค้ายังไม่ขึ้นราคา ประชาชนทั่วไปก็คงจะชื่นชอบ ประการที่สอง ดีกับรัฐบาลชุดนี้ เพราะไม่ต้องถูกตำหนิจากประชาชน และสามารถเอาตัวรอดจากวิกฤติต้นทุนในครั้งนี้ไปได้อย่างหวุดหวิด

แต่ที่ไม่ดีล่ะครับ  …
ผมว่าบรรดาผู้ผลิตสินค้าทั้งหลายที่แบกรับภาระต้นทุนทั้งหลายคงไม่มีใครว่าดีแน่นอน และยิ่งถ้าเป็นรัฐบาลชุดใหม่ที่จะมาหลังการเลือกตั้งด้วยแล้ว ยิ่งไม่มีใครว่าดีเป็นแน่แท้ เพราะปัญหาได้ถูกวางกองเตรียมไว้ให้เห็นๆก่อนจะเป็นรัฐบาลเสียอีก แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง ก็เป็นเรื่องท้าทายความสามารถที่พรรคการเมืองจะได้โชว์วิสัยทัศน์และความสามารถในการแก้ปัญหาให้ประชาชนเขาได้ประจักษ์และลงคะแนนให้อย่างไรก็ตาม โดยหลักการทางเศรษฐกิจเสรีแล้ว การควบคุมราคาหรือการกำหนดราคาสินค้าและบริการไม่ให้เป็นไปตามกลไกราคาหรือต้นทุนที่ควรจะเป็นแล้ว ถือเป็นการบิดเบือนราคา ย่อมส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของภาคการผลิตและภาคการลงทุนในอนาคต ที่สำคัญมันลดขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจพวกนี้ทำให้เราไม่สามารถพัฒนาให้ต่อสู้กับต่างประเทศได้อย่างเต็มที่ เรื่องนี้ต้องถือว่าเป็นจุดอ่อนของเรา เพราะรัฐบาลไม่สามารถสร้างอำนาจซื้อให้ประชาชนในระดับต่างๆได้ ประชาชนจึงขาดรายได้หรือรายได้ต่ำลง ทำให้ต้องหันมาใช้นโยบายชะลอการขึ้นราคาสินค้า ส่งผลให้ผู้ประกอบการรับกรรมไปในที่สุด

เมื่อถามว่า ผู้ประกอบการผลิตสินค้าอยากขึ้นราคาสินค้านักใช่ไหม ?ผมในฐานะทำงานอยู่กับนักธุรกิจและพ่อค้ามานาน ยืนยันได้เลยว่า เขาไม่อยากขึ้นราคา บรรดานักธุรกิจที่ผลิตสินค้าทั้งหลาย เขาคำนึงถึงความเหมาะสมของตลาดหรือความต้องการของประชาชน รวมถึงสภาวะการแข่งขันของตลาดเป็นสำคัญ ไม่ใช่ว่า ถ้าต้องการร่ำรวย จะกำหนดราคาเท่าไหร่ก็ทำได้ และที่สำคัญ การขึ้นราคาแต่ละครั้ง มีผลกระทบต่อยอดขาย โดยเฉพาะสินค้าที่มีคู่แข่งและมีอยู่หลากหลายในท้องตลาด … ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายนักแต่ที่อยู่กันได้ในปัจจุบัน ก็แค่เพียงประคับประคองตัวเองไม่ให้ล้ม บริหารต้นทุนกันสุดๆ ค่าใช้จ่ายต่างๆตัดกันแล้วตัดกันอีก เช่น งบการอบรมของพนักงาน งบประชาสัมพันธ์และงบโฆษณา งบจัดเลี้ยงและรับรองลูกค้า เป็นต้นบรรดาผู้ประกอบการทั้งหลาย เขายังมีความหวังอยู่เสมอครับว่า อนาคตต้องดีกว่านี้แน่นอน
และหวังว่า รัฐบาลชุดใหม่จะทำให้เศรษฐกิจสดใสขึ้นในปีใหม่


ส่วนปีนี้ … ขอออมแรงและออมเงินไว้ก่อนครับ

closed.jpg

เมื่อครั้งที่ Supprime ทำเอาธุรกิจการเงินในอเมริกาเกิดวิกฤติไปเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา ทั่วโลกก็คิดว่า อเมริกาจะสามารถแก้ปัญหาวิกฤติในครั้งนี้ได้ …

แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น ดูเหมือนว่าบรรดาวาณิชธนกิจในอเมริกาทั้งหลายต่างก็อยู่ในอาการฝันร้ายเรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้

ครั้งหลังสุด ธนาคารแห่งอเมริกา ซึ่งเป็นสถาบันการเงินขนาดใหญ่อันดับ 2 ของอเมริกา ได้ประกาศเลิกจ้างคนงานอีก 3,000 ราย เนื่องจากธุรกิจการเงินส่วนใหญ่ในขณะนี้กำไรหดลงไปอย่างน่าใจหาย โดยไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ลดลงไปถึง 93%

ตั้งแต่เกิดวิกฤติการณ์ดังกล่าวจนถึงปัจจุบัน บริษัทการเงินต่างๆปลดคนงานไปแล้ว 13,000 ตำแหน่ง ซึ่งมากกว่าการปลดพนักงาน 50,000 คน เมื่อปีที่แล้วถึง 2 เท่า และมากกว่าสถิติสูงสุดของปี 2544 ที่มีการปลดคนงานจำนวน 116,000 คน

ขณะนี้บริษัทการเงินในอเมริกาต่างก็ประสบกับปัญหาขาดทุนอย่างหนักจากการจำนองซับไพรม์และเงินกู้ และพันธบัตรองค์กรที่มีความเสี่ยงสูงมาก ก่อให้เกิดผลกระทบในด้านการจ้างงานที่รุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา มีการปลดคนงานออกไป 80 % ของคนงานที่ถูกปลดไปแล้ว

สาเหตุหลักๆของการปลดคนงาน ก็เนื่องมาจากความตกต่ำของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อย่างเช่นบริษัทคันทรี่ไวด์ ไฟแนนเชียน ซึ่งเป็นผู้รับจำนองอันดับ 1 ของอเมริกา ก็ปลดคนงานออกไปถึง 12,000 คน เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้เอง ในขณะเดียวกัน บริษัท อินดี้แมค แมนคอร์ป ก็เลิกจ้างพนักงานไปอีก 1,000 ตำแหน่งในเดือนเดียวกัน และบริษัทแอ็คเครดิตเทคโฮม เลนเดอร์ส ก็ได้ปลดพนักงาน 16,000 ตำแหน่ง และบริษัทแคปิตอลวัน วางแผนปิดแผนกจำนองกรีนพอยน์ลง ทำให้ต้องปลดคนงานออกไปอีก 1,900คน

ท่านทั้งหลายครับ การปลดคนงาน ยังไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้ ยังขยายไปทั่ว ลุกลามไปถึงบรรดานายแบงค์ กิจการเทรดเดอร์ และนักการเงินทั้งหลายอย่างไม่มีใครคาดคิดมาก่อน และผลกระทบได้คืบคลานเข้าไปสู่ยุโรปบางส่วนแถมยังมีแถบเอเซียอีกเล็กน้อย

ขณะนี้เวลาของปี 2550 ยังเหลืออยู่อีกเพียง 2 เดือนเท่านั้น อเมริกาจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้ยุติลงได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก เพราะคนจะต้องตกงานเพิ่มขึ้น และที่น่าวิตกไปกว่านั้นก็คือ ประเทศอเมริกาเป็นประเทศใหญ่ ธุรกิจการเงินเคยอู้ฟู่มั่งคั่ง การเงินภายในประเทศหมุนเวียนดีมีอำนาจการซื้อสูง ประเทศไทยก็สามารถส่งสินค้าไปขายยังสหรัฐอเมริกาเป็นจำนวนมาก จนเรียกได้ว่าเป็นตลาดหลักของประเทศไทย

แต่อนิจจา … เศรษฐีอย่างอเมริกากลับต้องมาจนลงชั่วขณะ ก็อาจจะมีผลกระทบต่อสินค้าส่งออกของไทยบ้าง ผมว่าบรรดาผู้ส่งออกทั้งหลายเตรียมตัวเตรียมความพร้อมไว้บ้างก็ดีเหมือนกันนะครับ เราต้องห่วงตัวเราเองก่อนครับ เพราะขณะนี้รัฐบาลท่านกำลังเป็นห่วงการเลือกตั้ง อาจจะไม่มีเวลาว่างพอ หรืออาจจะมองว่า เป็นหน้าที่ของรัฐบาลชุดใหม่หลังการเลือกตั้งไปเลยก็ได้ …

show.jpg

ธุรกิจหลักของสังคมไทยจากอดีตถึงปัจจุบัน เป็นธุรกิจซื้อมา-ขายไป ซึ่งจัดตั้งเป็นร้านค้าขนาดเล็กกระจายอยู่ทั่วประเทศไทย ตั้งแต่ระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล ไปจนกระทั่งถึงระดับหมู่บ้าน

ร้านค้าเหล่านี้จะมีทั้งประเภทขายรวม คือ ของกินของใช้และของชำ และมีทั้งประเภทขายเดี่ยว คือ ประเภทเครื่องมือ เครื่องใช้ เคมีภัณฑ์ การเกษตร ยา และวัสดุก่อสร้าง
ธุรกิจเหล่านี้ เป็นแกนหลักในการกระจายสินค้าจากผู้ผลิตไปถึงมือผู้บริโภคทุกหัวระแหงของประเทศ หล่อเลี้ยงอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศให้เจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง สร้างรายได้ทั่วประเทศคิดเป็น GDP ไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร

นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดการสร้างงาน ทำให้คนมีงานทำทั่วประเทศมากมายมหาศาล และที่สำคัญ ” ธุรกิจโชวห่วย … เป็นธุรกิจครอบครัว “ เลี้ยงครอบครัวทั่วประเทศให้มีอยู่มีกิน มีฐานะส่งลูกหลานเรียนจนได้ดิบได้ดี เป็นใหญ่เป็นโต มีฐานะมั่นคงเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด นักธุรกิจระดับใหญ่ของประเทศหลายคนก็มาจากครอบครัวธุรกิจ ” โชวห่วย ”

จนมาถึงวันนี้ ธุรกิจโชว์ห่วย อันถือเป็นแกนหลักทางเศรษฐกิจของประเทศ ของสังคมและของครอบครัว กำลังเกิดปัญหา ถูกรุกรานจากต่างชาติ จนเกือบจะหาที่ยืนไม่ได้ ไม่ต่างอะไรกับค่ายบางระจันที่รอวันแตกพ่าย โดยที่ภาครัฐยื่นมือเข้าไปช่วยช้ามาก เรียกว่า กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้แล้ว ไม่ทันการณ์ เอาแต่เรียกร้องให้ภาคเอกชนปรับตัว
ผมก็ไม่ทราบว่าภาครัฐกับภาคเอกชน ใครควรปรับตัวก่อนใคร แต่ในความรู้สึกของผม ผมรู้แต่ว่า ภาครัฐต้องเป็นผู้นำ ส่วนท่านจะนำอย่างไรนั้น ท่านต้องมีวิธีการของท่านแต่ที่ผ่านมา ผมยืนยันได้เลยว่า … ท่านยังไม่ได้นำครับ

ความจริงแล้ว ในเรื่งผลกระทบจากห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ของต่างชาติ หรือที่เราเรียกกันว่า ” ธุรกิจข้ามชาติ “ นั้น เราเรียกร้องกันมาเกือบ 7 ปีแล้ว แต่ไม่มีอะไรคืบหน้า รัฐอ้างว่าเราไม่มีกฏหมายโดยตรง แล้วก็หาทางออกโดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปช่วยกันหาทางแก้ด้วยการใช้กฏหมายผังเมืองบ้าง กฏหมายควบคุมอาคารบ้าง  ใช้เทศบัญญัติที่เป็นกฏหมายปกครองท้องถิ่นบ้าง
แต่กฏหมายตรงๆที่เกี่ยวข้องกับค้าปลีกไม่มี บรรดาผู้ค้าปลีกทั้งหลายก็เรียกร้องว่า

” เมื่อไม่มีแล้ว ทำไมไม่รีบทำ? “


ก็ได้รับคำตอบว่า ” … ขั้นตอนมันเยอะ ”

นี่แหล่ะครับ มันเป็นเรื่องที่เราไม่ใส่ใจตั้งแต่ 7 ปีที่แล้ว จนกระทั่งมาวันนี้ คณะรัฐมนตรีขิงแก่เพิ่งผ่านความเห็นชอบ พ.ร.บ. ค้าปลีกออกมา ซึ่งใช้เวลาทำเรื่องนี้อยู่เกือบ 1 ปีเต็ม แต่ก็ยังถือว่า อยู่ในห้วงเวลาที่พอจะช่วยได้ แต่ก็ทำแบบไฟลนก้นไปหน่อย

ความจริง ผมไม่ได้รังเกียจธุรกิจข้ามชาติหรือต่างชาติหรอกนะครับ แต่ว่าเมื่อเข้ามาทำมาหากินในบ้านเรา ก็ควรจะต้องมีระบบที่ทำให้เรากับเขาอยู่ร่วมกันได้ ไม่ใช่ “เขามา – เราตาย ” หรือให้ “เขาไป – เราอยู่ ” อย่างนี้มันก็จะมีแต่ความขัดแย้ง สังคมไม่สงบสุขผมยังยืนยันว่า เรื่องนี้ต้องเป็นหน้าที่ของรัฐอย่างแน่นอนครับ ที่จะต้องเข้ามาบริหารจัดการเรื่องนี้ให้เรีบยร้อย และทำให้ธุรกิจโชว์ห่วยของเรา พัฒนาเติบโตและเป็นแกนหลักสำคัญทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศชาติต่อไป

tuan.jpg

เพื่อนเก่าของผมคนหนึ่งชื่อ ธาริต เพ็งดิษฐ์ เป็นรองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) ได้พูดถึงคดีทุจริตทางเศรษฐกิจของบริษัทไทยว่า มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกปี นับตั้งแต่ปี 2537 ที่เริ่มก่อตั้ง DSI ขึ้นมา เพิ่มขึ้นถึง 200% ในปี 2549 แถมยังบอกอีกว่า ในปี 2550 ผ่านไปแล้ว 9 เดือน เพิ่มขึ้นมาเยอะมาก … และคาดว่า เมื่อถึงสิ้นปี จะเพิ่มถึง 200% แน่นอนครับ

รวมคดีที่ทำมาทั้งหมด มีมากกว่า 300 คดี ได้ส่งฟ้องศาลและอยู่ในขั้นตอนอัยการส่งสำนวนฟ้องจำนวน 200 คดี ยังเหลือคงค้างอีกกว่า 100 คดี

คดีที่พบว่ามีการทุจริตกันมากที่สุด 7 อันดับแรกคือ

– ตกแต่งบัญชี
– ทุจริตผ่องถ่ายหรือถ่ายเทเงินออกนอกบริษัท(ไซฟ่อน)
– สร้างต้นทุนเท็จ
– ให้บุคคลอื่นกู้เงิน
– โอนกำไรระหว่างบริษัท
– ทุจริตด้านภาษีอากร
และ ทุจริตโดยใช้ข้อมูลภายใน (Inside)

เมื่อถามว่า ทำไมการทุจริตมันถึงได้มากขึ้นทุกปี คุณธาริตบอกว่า …

”  … สาเหตุที่ทำให้การทุจริตของบริษัทเอกชนไทยเพิ่มสูงขึ้น เพราะกฏหมายมีบทลงโทษที่ไม่รุนแรง ทำให้ผู้กระทำผิดไม่เกรงกลัว …  ”

นี่แหล่ะครับ ทำให้สังคมเป็นห่วงและวิตกกังวลกันยกใหญ่ กระแสเรียกร้องถึงคุณธรรมและจริยธรรมจึงกึกก้องไปทั้งแผ่นดิน

เพราะอะไรครับ …

ก็เพราะว่าวิกฤติของประเทศที่เกิดขึ้น และเป็นปัญหาอยู่ทุกวันนี้มันมีสาเหตุมาจากความไม่ซื่อสัตย์ ขาดจรรยาบรรณในการประกอบวิชาชีพ ไม่ว่าจะเป็นภาคเอกชนหรือภาครัฐก็ตาม ล้วนแต่เป็นปัญหาทั้งสิ้น ทำให้ประเทศชาติขาดความน่าเชื่อถือ เดินหน้าก็ไม่ได้ วางตัวก็ลำบาก ติดต่อกับต่างประเทศก็ไม่ค่อยมีใครต้อนรับ จะชวนประเทศไหนเข้ามาลงทุนเขาก็หวาดระแวงกลัวเราจะโกง 

มันถึงเวลาตั้งนานแล้วครับที่เราจะต้องสร้างความเชื่อมั่น ทำให้ต่างชาติเขาเห็นว่า เราเป็นชาติที่มีความโปร่งใส จริงใจ ไร้มลทินเสียที เริ่มทำกันวันนี้ก็ไม่สายนะครับ

ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญระดับต้นๆ รัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญในเชิงนโยบายอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ควรจะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นวาระแห่งชาติ แก้ไขปัญหานี้ให้ทุเลาอย่างเป็นรูปธรรม เพราะที่ผ่านมาทำกันแบบไฟไหม้ฟาง ทำๆหยุดๆ มีปัญหาเมื่อไรก็หยิบมาพูดกันเสียทีหนึ่ง ทำให้ปัญหาพอกพูน หมักหมม และกลายเป็นมะเร็งร้ายของประเทศไปในที่สุด

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมขอชวนท่านทั้งหลายมาดูภาพลักษร์ของไทยในสายตาของชาวโลก จากรายงาน “ดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น (Corruption Perception Index-CPI) ของ องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ”

เขาเปิดเผยไว้ในรายงานประจำปี 2550 ได้จัดอันดับประเทศต่างๆ โดยให้คะแนเต็ม10 แล้วก็เรียงจากมากไปหาน้อย ใครได้คะแนนมาก แปลว่ามีภาพลักษณ์ดี โกงน้อย แต่ถ้าใครได้คะแนนน้อย แปลว่า ภาพลักษณ์ห่วย ถือว่าโกงมากไปจนถึงโคตรโกง

(ดาวน์โหลดเพื่อชมผลสรุปคะแนนได้ที่นี่)

หลังจากให้คะแนนกันแล้วทั้งหมด 180 ประเทศ ปรากฏว่า ประเทศไทยได้ 3.3 คะแนน อยู่ในอันดับที่ 84 เลยครับ หล่นจากปีที่แล้วที่ได้ 3.6 คะแนน ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 63 อันนี้เป็นระดับโลกนะครับ

แต่ถ้าเรามาดูกันเฉพาะในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก ซึ่งจัดอันดับกันไว้จำนวน 32 ประเทศ ของไทยเราจะอยู่ในอันดับที่ 14 ครับ

ผมดูจากคะแนนที่ประเทศไทยได้รับนั้น ยังไม่ถึงครึ่ง (5 คะแนน) สะท้อนให้เห็นถึงระดับความรุนแรงของปัญหาคอร์รัปชั่นในบ้านเรา ซึ่งเราคงปฏิเสธกันไม่ได้ว่ามีอยู่จริง และมากมายจนเป็นเรื่องปกติ ดูเหมือนว่า สังคมเริ่มจะมีทัศนคติแบบผิดๆคือ ใครไม่โกง คนนั้นสิโง่

ถ้าค่านิยมเป็นอย่างนี้ ผมคิดว่า “อันตราย” ครับ ความหายนะจะมาเยือนประเทศเราอย่างแน่นอน

ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการปรับปรุงความโปร่งใสกันอย่างจริงจัง ร่วมกันสร้างระบบตรวจสอบให้มีความแข็งแกร่ง ร่วมมือกับภาคประชาสังคมอย่างใกล้ชิด อบรมสั่งสอน รณรงค์ให้เยาวชนมีจิตสำนึก มีคุณธรรมและจริยธรรม อย่าอุ้มชูข้าราชการหรือเอกชนที่คอร์รัปชั่น อย่านับถือคนที่ร่ำรวยมาจากการทุจริต

ซึ่งเรื่องนี้ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยได้ตระหนักอยู่ตลอดเวลา คณะกรรมการของเราทำเรื่องจรรยาบรรณมากว่า 6 ปีแล้ว โดยทำในกลุ่มของสมาชิก รวมทั้งหอการค้าทั่วประเทศด้วย เริ่มทำให้สังคมเห็นความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ

แต่บอกตามตรงว่า งบประมาณเรามีจำกัดครับ ผู้สนับสนุนก็มีน้อย ถ้ารัฐบาลโดดมาเล่นเรื่องนี้อย่างจริงจังและสนับสนุนเราได้ ผมเชื่อว่าภาพลักษณ์ความโปร่งใสเราจะดีขึ้นแน่นอนเลยครับ