ในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา เราจะพบแต่ข่าวราคาน้ำมันโพสต์ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์มาตลอด เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลก ขยับไปเกือบ 100 เหรียญดอลล่าร์ต่อบาเรล ส่งผลให้ราคาน้ำมันทั่วโลกสูงขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง เล่นเอาประเทศพม่าเกิดการประท้วงกันยกใหญ่ ประเทศไทยก็ปวดหัวกันไปตามๆกัน โดยเฉพาะผู้ประกอบการและประชาชนผู้ต้องเดินทางไปประกอบอาชีพประจำวันทั้งหลาย
เบื้องต้นรัฐบาลขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ต่อด้วยการยอมให้รถโดยสารทั้งหลายขึ้นค่าโดยสาร ส่วนรถขนส่งสินค้าทั้งหลายไม่ต้องพูดถึง เพราะเขาขึ้นกันไปนานแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ พ่อค้าแม่ค้าทั้งหลาย ก็ทยอยขึ้นสินค้ากันเป็นทิวแถวโดยอ้างว่าต้นทุนมันสูงขึ้น จะทำอย่างไร ไม่อย่างนั้นก็อยู่กันไม่ได้
สินค้าที่ชิงขึ้นราคาล่วงหน้าไปก่อน ส่วนมากจะเป็นสินค้าที่มิได้อยู่ในรายการควบคุมของกระทรวงพาณิชย์ บังเอิญว่า มันเป็นสินค้าที่ชาวบ้านดำรงชีวิตประจำวันเสียด้วย เช่น ข้าวแกง ก๋วยเตี๋ยว อาหารตามสั่งต่างๆ รวมไปถึงเสื้อผ้าต่างๆ ส่วนสินค้าที่ควบคุม 200 รายการ กระทรวงพาณิชย์ได้เชิญไปร่วมหารือกันแล้ว ตกลงกันว่าจะชะลอการขึ้นราคาไปจนกว่าจะตกลงกันได้ในเรื่องต้นทุนที่แท้จริง
ความจริงแล้วในเรื่องต้นทุนที่แท้จริงนั้น มันคงหาไม่ยาก ถ้าตั้งใจจะหากันจริงๆ เพราะการทำธุรกิจหรือการประกอบอุตสาหกรรมต่างๆ เขาก็มีการบันทึกต้นทุนกันอยู่แล้ว ซึ่งมันเป็นเรื่องที่โกหกกันไม่ได้ แต่ปัญหาสำคัญมันอยู่ที่ว่า “รัฐบาลชุดนี้จะรักษาการไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้ง”
แล้วทำไมจะมาให้ “รัฐบาลชุดนี้ถูกด่า” ให้เสียเครดิตกันเสียเล่า
ดีครับ … ที่ว่าดีในที่นี่ก็คือ ประการแรก สินค้ายังไม่ขึ้นราคา ประชาชนทั่วไปก็คงจะชื่นชอบ ประการที่สอง ดีกับรัฐบาลชุดนี้ เพราะไม่ต้องถูกตำหนิจากประชาชน และสามารถเอาตัวรอดจากวิกฤติต้นทุนในครั้งนี้ไปได้อย่างหวุดหวิด
แต่ที่ไม่ดีล่ะครับ …
ผมว่าบรรดาผู้ผลิตสินค้าทั้งหลายที่แบกรับภาระต้นทุนทั้งหลายคงไม่มีใครว่าดีแน่นอน และยิ่งถ้าเป็นรัฐบาลชุดใหม่ที่จะมาหลังการเลือกตั้งด้วยแล้ว ยิ่งไม่มีใครว่าดีเป็นแน่แท้ เพราะปัญหาได้ถูกวางกองเตรียมไว้ให้เห็นๆก่อนจะเป็นรัฐบาลเสียอีก แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง ก็เป็นเรื่องท้าทายความสามารถที่พรรคการเมืองจะได้โชว์วิสัยทัศน์และความสามารถในการแก้ปัญหาให้ประชาชนเขาได้ประจักษ์และลงคะแนนให้อย่างไรก็ตาม โดยหลักการทางเศรษฐกิจเสรีแล้ว การควบคุมราคาหรือการกำหนดราคาสินค้าและบริการไม่ให้เป็นไปตามกลไกราคาหรือต้นทุนที่ควรจะเป็นแล้ว ถือเป็นการบิดเบือนราคา ย่อมส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของภาคการผลิตและภาคการลงทุนในอนาคต ที่สำคัญมันลดขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจพวกนี้ทำให้เราไม่สามารถพัฒนาให้ต่อสู้กับต่างประเทศได้อย่างเต็มที่ เรื่องนี้ต้องถือว่าเป็นจุดอ่อนของเรา เพราะรัฐบาลไม่สามารถสร้างอำนาจซื้อให้ประชาชนในระดับต่างๆได้ ประชาชนจึงขาดรายได้หรือรายได้ต่ำลง ทำให้ต้องหันมาใช้นโยบายชะลอการขึ้นราคาสินค้า ส่งผลให้ผู้ประกอบการรับกรรมไปในที่สุด
เมื่อถามว่า ผู้ประกอบการผลิตสินค้าอยากขึ้นราคาสินค้านักใช่ไหม ?ผมในฐานะทำงานอยู่กับนักธุรกิจและพ่อค้ามานาน ยืนยันได้เลยว่า เขาไม่อยากขึ้นราคา บรรดานักธุรกิจที่ผลิตสินค้าทั้งหลาย เขาคำนึงถึงความเหมาะสมของตลาดหรือความต้องการของประชาชน รวมถึงสภาวะการแข่งขันของตลาดเป็นสำคัญ ไม่ใช่ว่า ถ้าต้องการร่ำรวย จะกำหนดราคาเท่าไหร่ก็ทำได้ และที่สำคัญ การขึ้นราคาแต่ละครั้ง มีผลกระทบต่อยอดขาย โดยเฉพาะสินค้าที่มีคู่แข่งและมีอยู่หลากหลายในท้องตลาด … ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายนักแต่ที่อยู่กันได้ในปัจจุบัน ก็แค่เพียงประคับประคองตัวเองไม่ให้ล้ม บริหารต้นทุนกันสุดๆ ค่าใช้จ่ายต่างๆตัดกันแล้วตัดกันอีก เช่น งบการอบรมของพนักงาน งบประชาสัมพันธ์และงบโฆษณา งบจัดเลี้ยงและรับรองลูกค้า เป็นต้นบรรดาผู้ประกอบการทั้งหลาย เขายังมีความหวังอยู่เสมอครับว่า อนาคตต้องดีกว่านี้แน่นอน
และหวังว่า รัฐบาลชุดใหม่จะทำให้เศรษฐกิจสดใสขึ้นในปีใหม่
ส่วนปีนี้ … ขอออมแรงและออมเงินไว้ก่อนครับ