เพื่อนเก่าของผมคนหนึ่งชื่อ ธาริต เพ็งดิษฐ์ เป็นรองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) ได้พูดถึงคดีทุจริตทางเศรษฐกิจของบริษัทไทยว่า มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกปี นับตั้งแต่ปี 2537 ที่เริ่มก่อตั้ง DSI ขึ้นมา เพิ่มขึ้นถึง 200% ในปี 2549 แถมยังบอกอีกว่า ในปี 2550 ผ่านไปแล้ว 9 เดือน เพิ่มขึ้นมาเยอะมาก … และคาดว่า เมื่อถึงสิ้นปี จะเพิ่มถึง 200% แน่นอนครับ
รวมคดีที่ทำมาทั้งหมด มีมากกว่า 300 คดี ได้ส่งฟ้องศาลและอยู่ในขั้นตอนอัยการส่งสำนวนฟ้องจำนวน 200 คดี ยังเหลือคงค้างอีกกว่า 100 คดี
คดีที่พบว่ามีการทุจริตกันมากที่สุด 7 อันดับแรกคือ
– ตกแต่งบัญชี
– ทุจริตผ่องถ่ายหรือถ่ายเทเงินออกนอกบริษัท(ไซฟ่อน)
– สร้างต้นทุนเท็จ
– ให้บุคคลอื่นกู้เงิน
– โอนกำไรระหว่างบริษัท
– ทุจริตด้านภาษีอากร
และ ทุจริตโดยใช้ข้อมูลภายใน (Inside)
เมื่อถามว่า ทำไมการทุจริตมันถึงได้มากขึ้นทุกปี คุณธาริตบอกว่า …
” … สาเหตุที่ทำให้การทุจริตของบริษัทเอกชนไทยเพิ่มสูงขึ้น เพราะกฏหมายมีบทลงโทษที่ไม่รุนแรง ทำให้ผู้กระทำผิดไม่เกรงกลัว … ”
นี่แหล่ะครับ ทำให้สังคมเป็นห่วงและวิตกกังวลกันยกใหญ่ กระแสเรียกร้องถึงคุณธรรมและจริยธรรมจึงกึกก้องไปทั้งแผ่นดิน
เพราะอะไรครับ …
ก็เพราะว่าวิกฤติของประเทศที่เกิดขึ้น และเป็นปัญหาอยู่ทุกวันนี้มันมีสาเหตุมาจากความไม่ซื่อสัตย์ ขาดจรรยาบรรณในการประกอบวิชาชีพ ไม่ว่าจะเป็นภาคเอกชนหรือภาครัฐก็ตาม ล้วนแต่เป็นปัญหาทั้งสิ้น ทำให้ประเทศชาติขาดความน่าเชื่อถือ เดินหน้าก็ไม่ได้ วางตัวก็ลำบาก ติดต่อกับต่างประเทศก็ไม่ค่อยมีใครต้อนรับ จะชวนประเทศไหนเข้ามาลงทุนเขาก็หวาดระแวงกลัวเราจะโกง
มันถึงเวลาตั้งนานแล้วครับที่เราจะต้องสร้างความเชื่อมั่น ทำให้ต่างชาติเขาเห็นว่า เราเป็นชาติที่มีความโปร่งใส จริงใจ ไร้มลทินเสียที เริ่มทำกันวันนี้ก็ไม่สายนะครับ
ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญระดับต้นๆ รัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญในเชิงนโยบายอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ควรจะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นวาระแห่งชาติ แก้ไขปัญหานี้ให้ทุเลาอย่างเป็นรูปธรรม เพราะที่ผ่านมาทำกันแบบไฟไหม้ฟาง ทำๆหยุดๆ มีปัญหาเมื่อไรก็หยิบมาพูดกันเสียทีหนึ่ง ทำให้ปัญหาพอกพูน หมักหมม และกลายเป็นมะเร็งร้ายของประเทศไปในที่สุด
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมขอชวนท่านทั้งหลายมาดูภาพลักษร์ของไทยในสายตาของชาวโลก จากรายงาน “ดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น (Corruption Perception Index-CPI) ของ องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ”
เขาเปิดเผยไว้ในรายงานประจำปี 2550 ได้จัดอันดับประเทศต่างๆ โดยให้คะแนเต็ม10 แล้วก็เรียงจากมากไปหาน้อย ใครได้คะแนนมาก แปลว่ามีภาพลักษณ์ดี โกงน้อย แต่ถ้าใครได้คะแนนน้อย แปลว่า ภาพลักษณ์ห่วย ถือว่าโกงมากไปจนถึงโคตรโกง
(ดาวน์โหลดเพื่อชมผลสรุปคะแนนได้ที่นี่)
หลังจากให้คะแนนกันแล้วทั้งหมด 180 ประเทศ ปรากฏว่า ประเทศไทยได้ 3.3 คะแนน อยู่ในอันดับที่ 84 เลยครับ หล่นจากปีที่แล้วที่ได้ 3.6 คะแนน ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 63 อันนี้เป็นระดับโลกนะครับ
แต่ถ้าเรามาดูกันเฉพาะในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก ซึ่งจัดอันดับกันไว้จำนวน 32 ประเทศ ของไทยเราจะอยู่ในอันดับที่ 14 ครับ
ผมดูจากคะแนนที่ประเทศไทยได้รับนั้น ยังไม่ถึงครึ่ง (5 คะแนน) สะท้อนให้เห็นถึงระดับความรุนแรงของปัญหาคอร์รัปชั่นในบ้านเรา ซึ่งเราคงปฏิเสธกันไม่ได้ว่ามีอยู่จริง และมากมายจนเป็นเรื่องปกติ ดูเหมือนว่า สังคมเริ่มจะมีทัศนคติแบบผิดๆคือ ใครไม่โกง คนนั้นสิโง่
ถ้าค่านิยมเป็นอย่างนี้ ผมคิดว่า “อันตราย” ครับ ความหายนะจะมาเยือนประเทศเราอย่างแน่นอน
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการปรับปรุงความโปร่งใสกันอย่างจริงจัง ร่วมกันสร้างระบบตรวจสอบให้มีความแข็งแกร่ง ร่วมมือกับภาคประชาสังคมอย่างใกล้ชิด อบรมสั่งสอน รณรงค์ให้เยาวชนมีจิตสำนึก มีคุณธรรมและจริยธรรม อย่าอุ้มชูข้าราชการหรือเอกชนที่คอร์รัปชั่น อย่านับถือคนที่ร่ำรวยมาจากการทุจริต
ซึ่งเรื่องนี้ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยได้ตระหนักอยู่ตลอดเวลา คณะกรรมการของเราทำเรื่องจรรยาบรรณมากว่า 6 ปีแล้ว โดยทำในกลุ่มของสมาชิก รวมทั้งหอการค้าทั่วประเทศด้วย เริ่มทำให้สังคมเห็นความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่บอกตามตรงว่า งบประมาณเรามีจำกัดครับ ผู้สนับสนุนก็มีน้อย ถ้ารัฐบาลโดดมาเล่นเรื่องนี้อย่างจริงจังและสนับสนุนเราได้ ผมเชื่อว่าภาพลักษณ์ความโปร่งใสเราจะดีขึ้นแน่นอนเลยครับ
ผมเชื่อว่าทุก ๆ คนต่างทราบกันดีว่าการคอร์รัปชั่นนั้น เป็นการทุจริตต่อบ้านเมือง อันเป็นส่วนหนึ่งของการฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่หลายท่านอาจจะมองเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่ร้ายแรงนัก หรือไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าไหร่นักเพราะขาดความเข้าใจในเรื่องการคอร์รัปชั่น หรืออาจจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง การทำความรู้จักหรือทำความเข้าใจการคอร์รัปชั่นจึงเป็นสิ่งที่ทุก ๆ ท่านควรจะทราบ เพื่อที่จะได้ช่วยกันสอดส่องดูแล รู้ทันรูปแบบของผู้ที่ทำการทุจริต รวมถึงช่วยกันปกป้องให้สังคมของเรามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สงบสุขปราศจากการเอารัดเอาเปรียบบนความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมที่เป็นอย่างในปัจจุบัน
จริง ๆ มันมีคำที่มีความหมายที่เกี่ยวข้องอยู่ 2 คำ คือ คอร์รัปชั่น มีความหมายว่า “การใช้อำนาจเพื่อได้ให้มาซึ่งกำไร ตำแหน่ง ชื่อเสียงเกียรติยศ หรือผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม โดยวิธีทางที่ฝ่าฝืนกฎหมายหรือมาตรฐานทางศีลธรรม อาจรวมถึงพฤติกรรมเบี่ยงเบนของผู้มีตำแหน่งในราชการ เพื่อให้ได้ผลประโยชน์เข้าตนและพรรคพวก ทั้งในด้านสังคม ด้านการเงิน ด้านตำแหน่ง” (ยืมมาจาก อาจารย์สังศิตครับ)
อีกคำหนึ่งที่เรามักใช้ในสมัยก่อน คือ “ฉ้อราษฎร์บังหลวง” ซึ่งมีความหมายว่า “การที่พนักงานเจ้าหน้าที่เก็บเงินจากราษฎรแล้วไม่ส่งหลวง หรือ เบียดบังเงินหลวง” แต่ความหมายมันไม่สื่อมากนัก ผมว่าน่าจะใช้คำว่า “ฉ้อหลวงบังราษฎร์” น่าจะมีความหมายใกล้เคียงกับคำว่าคอร์รัปชั่นมากกว่า
ผมมีสถิติ เมื่อปีที่แล้ว (ปี 2549) ที่ World Democracy Audit ให้ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 49 จากทั้งหมด 143 ประเทศ และ บริษัทที่ปรึกษาความเสี่ยงทางการเมืองและเศรษฐกิจ (Political and Economic Risk Consultancy, Ltd.- PERC) ได้จัดอันดับให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการคอร์รัปชั่นมากที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ในเอเซีย จากจำนวน 13 ประเทศ รองจากอินโดนีเซีย, เวียดนาม และฟิลิปปินส์ โดยคะแนนจัดอันดับที่ได้คือ 7.64 คะแนน ซึ่งแย่กว่าผลการสำรวจเมื่อปี 2548 ที่ผ่านมาที่ไทยได้คะแนน 7.20 คะแนน โดยผลจากการจัดอันนี้ได้แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีปัญหาคอร์รัปชั่นในระดับที่สูง และมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้น ซึ่งถือได้น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง และรัฐบาลควรจัดให้ปัญหาการคอร์รัปชั่นนั้นเป็นหนึ่งในวาระแห่งชาติ ที่ทุกภาคส่วนจะต้องช่วยกัน เพื่อให้ประเทศชาติของเราอยู่รอดปลอดภัยจาก เหลือบที่คอยกัดกินประเทศ และผมยังเชื่อมั่นว่าคนที่คดโกงประเทศชาติคงต้องมีอันเป็นไปไม่ช้าก็เร็วครับ
ไม่มีทางแก้ได้หรอกครับเรื่องคอร์รัปชั่นเนี่ย ในเมื่อผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเรายังไม่มีจิตสำนึก ไม่มียางอาย จะออกกฎหมายมาสักกี่ฉบับมันก็ยังโกงอยู่นั่นแหละ เมื่อมันโกงไปแล้วยังมีคนไปเชียร์ ห้อมล้อม นับหน้าถือตา จึงเท่ากับเป็นการสนับสนุน หน้ามันด้านจริง ๆ ยิ่งบางคนโกงกันทั้งโคตรจริง ๆ
แก้ได้ศิครับผมยังมีความหวังอยู่นะครับ คือ คนที่โกงอยู่เนี่ย ต้องลาออกไป ไม่ต้องรอให้เขาออกมาไล่ ทั้ง ๆ ที่เขาชี้ให้เห็นแล้ว ว่า การถือครองทรัพย์ของคุณมันได้มาโดยไม่ถูกต้อง นี่แหละ ตัวปัญหาละ ที่ทำให้ประเทศไม่น่าเชื่อถือ ถ้าคุณลาออกทุกอย่างจะดีขึ้น
ผมเสนออย่างนี้นะ
1.การสร้างค่านิยมหลักแห่งชาติให้เกิดขึ้น ค่านิยมหลักเป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับการบริหาร องค์การ กรณีที่บริหารได้สำเร็จเราจะได้สิ่งที่ไม่คาดฝันได้หลายอย่าง แก้ปัญหาสังคมได้หลายข้อโดยไม่ต้องอาศัยกฎหมายมาบังคับใช้
2. ปรับปรุงจริยธรรมทางสังคมให้รู้จักการ ให้ การให้ เป็นหนทางหนึ่งไปสู่การ ปล่อยวาง ใครสามารถปล่อยวางได้ ก็จะสบายกาย สบายใจ ความสุขของประชาชน อยู่ตรงไหน? ผู้ปกครองรู้แล้วหรือยังว่าอยู่ตรงไหน? ไม่ใครจักรู้ได้ดอก? แต่ที่แน่ๆ เมื่อรู้จักการให้แล้วย่อมเป็นสุข
บางอย่างเรามีอยู่ใกล้ตัว แต่ไม่ค่อยหยิบมาใช้ให้เป็นประโยชน์ อาทิ พุทธสุภาษิต “ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน” นำสุภาษิตคำสอนของศาสนามาเป็นคติประจำใจของทุกคน ทำให้โด่ดเด่นเสมอกัน ไม่ว่าจะเป็น พุทธ คริสต์ อิสลาม หรือ อื่น ๆ เป็นวิธีการหนึ่งของการกล่อมเกลา ผสานให้เป็นหนึ่งเดียวกัน อย่าลืมว่า ศาสนา เป็นเสาหลักค้ำจุนโลกไว้ เสาแต่ละต้นถ้าหากตั้งอยู่โดดๆ ไม่มีการเชื่อมโยงกัน ก็จะไม่เพียงพอกับการใช้งานในการปลูกบ้านให้คนได้อยู่ ได้อาศัยกันดอกนะ ซิบอกให่..
ครับ ปราบได้แน่นอน อุปสรรคอันยิ่งใหญ่ของการปราบปรามคอร์รัปชั่นในประเทศไทย ในอดีตก็คือ การปล่อยปละละเลยของภาคประชาชน
เพราะเข้าใจว่าคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องสินน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นการหยอดน้ำมันหล่อลื่นให้ราชการทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ แถมยกย่องความดีของการคอร์รัปชั่นว่าเป็นตัวเร่งให้นักการเมืองทำงานสร้างสรรค์โครงการเพื่อความเจริญของชาติได้บ้างดีกว่าไม่กินแต่ไม่ทำอะไรเลย
แนวคิดการถลุงใช้เงินของรัฐแบบนี้ ไม่ใช่การคอร์รัปชั่นแบบเก่าที่คนที่เคยยอมว่า เป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นสินน้ำใจแล้วละครับ แบบนี้ไม่ใช่แค่สูญเสียทรัพย์ให้กับขโมยที่ขึ้นบ้านเรา แต่เป็นประเภทขโมยที่จะมารื้อบ้านเราไปขายทั้งหลังเลย ในที่สุดโจรก็ถูกบ้านพังทับตายไปพร้อมกับเจ้าของบ้านและลูกเด็กเล็กแดงทั้งหลายที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยเลย
ผมมีตัวอย่างความสำเร็จของการปราบปรามคอร์รัปชั่น ในประเทศเพื่อนบ้าน ก็มีให้เห็นมากมาย เช่น เกาหลีจับอดีตประธานาธิบดีขึ้นศาล และลงโทษได้ ปัจจุบันเกาหลีหลุดจาก ความเป็นประเทศยากจน และแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจได้รวดเร็วที่สุด
ที่ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย พลังประชาชนมือเปล่าไร้อาวุธก็สามารถเรียกร้องให้ปลด ประธานาธิบดีด้วยข้อหาคอร์รัปชั่นได้มาแล้ว ทั้งประธานาธิบดี มาร์คอส ประธานาธิบดีซูฮาร์โต และล่าสุดก็คือประธานาธิบดีเอสตราดา
ที่จีนเมืองเซินเจิ้นเขตเศรษฐกิจใหม่ของประเทศจีน ใกล้ฮ่องกงอธิบดีตำรวจที่นั่นถูกจับได้ในข้อหาร่วมมือกับขบวนการค้ารถเถื่อน ถูกประหารชีวิตทันที รวดเร็วจนเพื่อนตำรวจจากประเทศไทยงงมาก เพราะเพิ่งเจอกันไว ๆ ที่กรุงเทพฯ และที่ปักกิ่ง เมื่อปีที่แล้วสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ระดับสูงถูกพิพากษาคดีคอร์รัปชั่น และถูกประหารชีวิตทันที มีข่าวเผยแพร่ไปทั่วโลก โดยสำนักข่าวจีนเอง เขาไม่เห็นเป็นเรื่องน่าอาย เพราะเขาภูมิใจที่เขาจัดการคนคอร์รัปชั่นได้อย่างไม่ไว้หน้าใครแม้กระทั่งคนใกล้ชิดของตัวเอง
คุณรู้มั๊ยว่า เมืองไทยเราในสมัย คมช.นี้ มีองค์กรที่จ้องจับตาการคอร์รัปชั่นมากมาย เช่น ปปช. ปปง. คตง. ศาลปกครอง ผู้ตรวจการรัฐสภา ผู้ตรวจการเงินแผ่นดิน ทั้ง ส.ส. ส.ว. และ สป. (สภาที่ปรึกษาเศรฐกิจและสังคมแห่งชาติ) ต่างก็ตั้งคณะกรรมมาธิการ ไว้ติดตามเรื่องคอร์รัปชั่น หากรวมกับภาคประชาชนและองค์กรต่าง ๆ แล้วมีกว่า รวมทั้งสมาคมวิชาชีพ ต่าง ๆ กว่า 200 องค์กร เป็นเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น (คปต.) รัฐบาลก็สนับสนุนให้เงินมาตั้ง กองทุนสื่อประชาสังคมต้านคอร์รัปชั่น (สปต.) สถาบันวิชาการต่าง ๆ มีงานวิจัยรวบรวมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับขบวนการคอร์รัปชั่นในประเทศไทย เช่น ที่คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ที่สถาบัน TDRI และ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต เป็นต้น
วันนี้ ผมจึงเชื่อว่า พลังขององค์กรและเครือข่ายที่มีมากที่สุดเท่าที่เคยมีในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย จะสามารถร่วมกันต่อต้านคอร์รัปชั่นแล้วมีการคาดการณ์ว่าภายใน 1 ปีนี้ จะมีตัวอย่างที่ตัวการคอร์รัปชั่นระดับสูง จะถูกนำมาขึ้นศาลเพื่อลงโทษได้ในที่สุด คอร์รัปชั่นในประเทศไทยวันนี้ จึงมีวันที่จะปราบได้สำเร็จแน่นอน!
ไม่มีแผ่นดินจะอยู่หรือบั่นคอมัน
โกงได้โกงไปให้หมด
คิดขบถต่อแผ่นดิน
คดโกงกันจนสิ้น
ก็กินก็คิดขายชาติ
คิดชั่วโฉดหยาบช้า
เลวทรามคิดบังอาจ
โกงรัฐและโกงราษฎร์
ชะตาขาดสิ้นแผ่นดินอยู่
คนมันเลวคนชั่วช้า อุบาทว์
โกงแผ่นดินสิ้นชาติ บ่ยั่น
หน้าด้านอยู่บังอาจ โคตรแม่ มันเลว
ดาบบั่นคอสะบั้น จึ่งสิ้นมารเมือง
คนเราไม่ค่อยจะเชื่อเรื่อง นรกสวรรค์ สักเท่าไหร่ แต่อาตมาจะบอกว่า “เชื่อตอนเป็นดีกว่าเห็นตอนตาย” เพราะเมื่อตายแล้ว ยมบาลนำลงนรกก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แล้ว หากได้ขึ้นสวรรค์ก็จะเสียใจว่า หากทราบว่ามีสวรรค์จริงๆ ก็จะทำดียิ่งๆ ขึ้นจะได้ไปสู่ภพภูมิของสวรรค์ที่สูงกว่า ในคัมภีร์กล่าวว่า มีสวรรค์(๑๖ ชั้นฟ้า) และมีนรก(๑๕ ชั้นดิน) แต่มีจำนวนน้อย เชื่อว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เชื่อว่า ชาติหน้ามี ชาติก่อนมี
เมื่อโยมกล่างถึงเรื่องการโกง โดยเฉพาะการโกงชาติ โกงแผ่นดินนั้นหมายความว่า การนำสมบัติของส่วนรวมไปเป็นสมบัติของตนและพวกพ้อง เช่น การฉ้อราษฎร์ บังหลวง การนำสมบัติของชาติไปขายให้ต่างชาติ เช่น สัมปทาน ผืนแผ่นดิน ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น น้ำมัน แก็ส แร่ทองคำ แร่ดีบุก แร่โปแตส ฯลฯ เงินทองที่ได้จากการขายชาติขายแผ่นดินก็จะทำให้คนโกงได้อำนาจได้ความร่ำรวย แต่สิ่งที่พวกเขาไม่เชื่อเพื่อยังมืดบอดอยู่ก็คือ ทุกบาททุกสตางค์ที่โกงชาติโกงแผ่นดินจะกลายเป็นเม็ดกรวด เม็ดทรายที่ร้อนระอุสร้างเรือนนรกรอรับตนเองในอบายภูมิ ตกนรกหมกไหม้ในนรกขุมใดขุมหนึ่งจากห้าร้อยขุม
แน่นอนคนส่วนใหญ่จะไม่เชื่อว่า นรกสวรรค์มีจริงๆ จึงปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปอย่างมืดบอดหรือบนความไม่รู้ เปรียบเสมือนกับการเดินบนถนนที่มีน้ำท่วมมองไม่เห็นผิวถนน ก็จะไม่ทราบว่า มีหลุมบ่ออะไรที่ตนเองอาจพลัดตกลงไปเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
แล้วท่านละเชื่อว่า มีนรกสวรรค์หรือไม่ หากเชื่อก็ขออนุโมทนา ให้ทำความดียิ่งๆ ขึ้น หากไม่เชื่อก็ขอให้กำลังใจว่า สักวันหนึ่งเมื่อถึงเวลา ก็ขอภาวนาให้ท่านเชื่อว่า นรกสวรรค์มีจริง ยิ่งเชื่อเร็วเท่าไรก็จะเป็นคุณจะได้เร่งละชั่ว ทำดี ทำจิตให้ผ่องใส หากช้าท่านก็อาจช่วยตัวเองไม่ได้ เพราะก่อนที่ท่านจะตาย ท่านจะถูกครอบงำด้วย“อาสันกรรม” คือ กรรมที่จะส่งผลก็จะปรากฏขึ้น โดยที่ท่านไม่สามารถช่วยตัวเองได้เลย เช่น คนที่ชอบตีไก่ชน ก็จะตีปีกอยู่ ๓ วัน ๗ วัน คนที่ฆ่าวัวควาย หรือหมูเป็นอาชีพก็จะร้องเหมือนวัว เหมือนหมูก่อนสิ้นใจตาย แล้วก็คงจะบอกที่ไปของดวงวิญญาณหลังจากออกจากร่างไปแล้วได้ หากท่านทำความดีอย่างต่อเนื่อง อาสันกรรมคือ ภาพวิมานในสวรรค์ และเทพบุตรและเทพธิดาที่จะเป็นบริวารของท่านก็จะนำทิพยานหรือทิพรถมารับ ท่านก็จะยิ้มแย้ม แม้สิ้นชีวิตแล้ว รอยยิ้มก็ยังคงปรากฏบนใบหน้า
อาตมาจึงอยากที่จะให้ผู้มีอำนาจที่อยู่ในฐานะจะโกงชาติโกงแผ่นดินได้ ก็ให้พึงสำเหนียกไว้จงดี เงินทองที่ได้จากการโกงชาติ ขายชาตินอกจากท่านจะนำติดตัวไปไม่ได้แล้ว มันก็จะเป็นเรือนนรกเผาผลาญท่านหลังสิ้นชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น
ขอเจริญพร
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระราชินีฯ คือมิ่งขวัญปวงชนชาวไทย