ปัจจุบันทั่วโลกเราใช้น้ำมันอันเป็นพลังงานหลักมากขึ้นทุกปี ถ้าปีไหนเศรษฐกิจขยายตัวมาก การใช้พลังงานน้ำมันก็มีมากขึ้นตามไปด้วย จะเห็นได้ชัดไม่ว่าจะเป็นอเมริกา ยุโรป จีน หรือญี่ปุ่น ถ้าปีไหนเศรษฐกิจโตมาก ก็หมายความว่าต้องมีการผลิดสินค้าเพิ่มขึ้น รถยนต์ก็ผลิตมากขึ้น อุตสาหกรรมทุกประเภทก็ใช้น้ำมันมากขึ้นตามไปด้วย
เมื่อผลิตสินค้ามาก ก็ต้องมีการขนส่งมากขึ้น นักธุรกิจ นักการตลาด นักเจรจาทั้งหลาย รวมทั้งนักท่องเที่ยวก็ต้องเดินทางไปมาหาสู่กันมากขึ้น ล้วนแล้วแต่ต้องใช้พลังงานน้ำมันด้วยกันทั้งสิ้น
จากการประเมินของนักธรณีวิทยาที่มีความรู้เกี่ยวกับน้ำมันดิบใต้ดินว่า น้ำมันดิบที่มีอยู่ในเวลานี้ จะใช้ได้อีกประมาณ 30 ปี เผลอๆ 20 ปีก็หมดแล้วครับ คือ ถ้าการใช้ยังขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็หมายถึงว่า จะหมดเร็วแน่นอน นี่ขนาดทั่วโลกรณรงค์ให้ลดการใช้น้ำมันลงเพราะปัญหาโลกร้อน รวมทั้งแสวงหาพลังงานทดแทนแล้ว ก็ยังไม่ทันกับความต้องการของมนุษย์อยู่นั่นเอง …
ขณะนี้หลายประเทศ กำลังเล็งไปที่ “พลังานนิวเคลียร์” เพราะเห็นว่าประเทศที่เจริญแล้ว นำมาใช้แล้วประสบความสำเร็จ มีต้นทุนต่ำ แถมยังทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้นด้วย เพราะเป็นพลังงานที่สะอาด
ประเทศในยุโรปที่ใช้พลังงานนิวเคลียร์มากที่สุด คือ ประเทศฝรั่งเศส ครับ เขามีเทคโนโลยีในเรื่องนี้ที่ยอดเยี่ยมมาก มีมาตราการในการรักษาความปลอดภัยอย่างดีเลิศ จนเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่า ฝรั่งเศสมีส่วนทำให้สภาพแวดล้อมของอากาศทั่วโลกดีขึ้น
จากประบการณ์ที่ยาวนานของฝรั่งเศสนี้เอง เป็นบทพิสูจน์ให้โลกเห็นว่า พลังงานนิวเคลียร์ไม่ใช่สิ่งอันตราย ถ้าได้ดูแลเป็นอย่างดีและมีมาตรฐานสูง ส่งผลให้ประเทศในกลุ่มประเทศอาเซียนเพื่อบ้านของเราหลายประเทศ กำลังให้ความสนใจทำโรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขึ้น มีทั้ง อินโดนีเซีย เวีดนาม พม่า และล่าสุดก็คือ กัมพูชาครับ
ประเทศเหล่านี้ไม่เพียงแต่ให้ความสนใจธรรมดา ยังมีการเตรียมแผนงาน เตรียมงบประมาณ และเดินทางไปดูงาน ศึกษาเทคโนโลยีกับฝรั่งเศสอย่างจริงๆจังๆเลยนะครับ
ส่วนประเทศไทยของเรา กระทรวงพลังงานก็ไม่น้อยหน้าประเทศอื่นเหมือนกันนะครับ โดยได้จัดเตรียมแผนงาน และจะเริ่มฝึกเจ้าหน้าที่ที่จะรับผิดชอบในโรงงานพลังงานไฟฟ้านิวเคลียร์ในช่วงระยะเวลา 7 ปีต่อจากนี้ไป และตั้งเป้าหมายไว้ว่า ในประมาณปี 2021 หรือ พ.ศ.2564 ประเทศไทยจะเริ่มใช้พลังงานนิวเคลียร์ได้แล้ว เพราะตอนนั้น ความต้องการพลังงานไฟฟ้าในประเทศจะสูงมากขึ้นกว่าปัจจุบันถึง 5,000 ล้านกิโลวัตต์ทีเดียว
ถ้าไม่รีบดำเนินการมีหวังไฟดับกันทั้งประเทศ เศรษฐกิจและการลงทุนในด้านต่างๆจะเป็นปัญหาวิกฤติอย่างหนัก เนื่องจากไฟฟ้าเป็นพลังงานปัจจัยพื้นฐาน(Infra-Structure) ที่สำคัญยิ่งของระบบเศรษฐกิจเลยนะครับ
เมื่อพูดถึงโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ทีไร ผมก็รู้สึกหนักอกขึ้นมาทุกที ไม่ใช่เพราะอกของผมมันใหญ่นะครับ แต่เป็นเพราะปัญหาที่เกี่ยวข้องกับประชาชนที่เขาอาศัยอยู่ในบริเวณที่ตั้งโรงงานไฟฟ้านั่นแหล่ะ เขาไม่ไว้ใจ เขาไม่รู้มาตราการรักษาความปลอดภัยจะทำได้ดีเยี่ยมขนาดไหน
ใครๆก็กลัวตายครับ เขารู้แต่ว่ามันมีอันตรายร้ายแรง แต่ไม่รู้ว่ามันมีคุณปะโยชน์และมีวิธีป้องกันอย่างไรให้ปลอดภัยและชาวบ้านไว้วางใจ
ผมคิดว่า เรื่องนี้กระทรวงพลังงานต้องเริ่มชิงลงมือให้การศึกษากับประชาชนนะครับ ผมขอย้ำและเน้นคำว่า “ให้การศึกษา” ไม่ใช่ประชาสัมพันธ์อย่างเดียวนะครับ เพราะคำว่า “ให้การศึกษา” มันลึกซึ้งและเข้าถึงมากกว่าการประชาสัมพันธ์อย่างเทียบกันไม่ได้เลยเชียวละ
เราต้องทำให้คนของเรารู้จริง รู้เท่าทัน รู้เหมือนกัน และต้องรู้ทันกันหมด อย่าปล่อยให้พวกที่รู้ข้างๆคูๆ เอาไปปลุกระดมจนพินาศย่อยยับเหมือนเหตุการณ์ที่ภูเก็ต ทั้งๆที่มันเป็นคนละเรื่อง …
กว่าภาครัฐจะเข้าไปทำความเข้าใจทุกอย่างก็สายไปแล้ว และกว่าจะเดินหน้าต่อไปได้ก็ต้องรอให้รุ่นลูกรุ่นหลานมันมีความรู้ ความเข้าใจ ให้การยอมรับ ถึงเวลานั้น บ้านอื่นเมืองอื่น เขาคงเดินไปไกล จนมองไม่เห็นก้นแล้วล่ะครับ
อย่างไรก็ตามอย่างที่ผมกล่าวมาตั้งแต่แรกว่า หลายประเศในกลุ่มอาเซียนให้ความสนใจ แต่กลุ่มประเทศอาเซียนก็ยังไม่เคยหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาหารือกันเป็นเรื่องเป็นราวเลยนะครับ ทั้งๆที่อาเซียนมีข้อตกลงในเรื่องพลังงานอยู่แล้ว แต่ไม่เกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์
เพราะฉะนั้นในการประชุมสุดยอดผู้นำ เดือนพฤจิกายน ศกนี้ ที่ประเทศสิงคโปร์ บรรดาท่านผู้นำอาเซียนทั้งหลายทั้งหลาย น่าจะได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาคุยกันและตั้งคณะทำงานหรือคณะกรรมาธิการ หรือคณะอะไรก็สุดแต่จะเรียกเถอะครับ
ให้เขาทำหน้าที่ศึกษาแนวทางกำหนดข้อตกลงร่วมกันให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งทางด้านเทคโนโลยีและการป้องกัน อย่าปล่อยให้ต่างคนต่างทำและมีหลายมาตรฐานเลยครับ เพราะเรามีบ้านใกล้ชิดติดกัน เวลามีอะไรตูมตามขึ้นมา มันจะอยู่ร่วมกันไม่ได้
ขอให้ช่วยกัน “หนักอก” หน่อยเถอะครับ
ความจริงเรื่องการใช้พลังงานนิวเคลียส์นั้น มันก็คงเป็นไปตามวัฎจักร ของการใช้พลังงาน เพราะบ้านเรา เมืองเรา ยังคงมีพลังงานใช้และผู้ใช้ยังไม่เห็นความจำเป็นของการใช้พลังงานนิวเคลียส์ เมื่อถึงจุดหนึ่ง มันก็ต้องกลับมามองว่า จำเป็นแล้วนะ และสุดท้ายก็ต้องใช้มัน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างเพื่อนบ้านเรา รัฐบาลพม่า ก็กำลังจะดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ขนาด 10 เมกกาวัตน์ โดยใช้เชื้อเพลิงแบบ 20% คือมียูเรเนี่ยมเข้มข้น 20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแน่นอนว่าไม่เพียงพอต่อการพัฒนาเป็นระเบิดนิวเคลียร์ ถ้าไม่สร้างเครื่องเสริมสมรรถนะ เหมือนอิหร่านนะ ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับประเทศรัสเซีย แม้ว่าเงินจ๊าด ของพี่หม่อง อาจจะไม่มีค่าอะไรในตลาด แต่อย่างน้อยพม่าก้อเป็นประเทศที่อุดมด้วยน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ผมว่าสุดท้ายก็คงก้อคงจะจ่ายค่าการก่อสร้างโดยทรัพยากรพวกนี้ได้
หากมองอีกมุมหนึ่ง ผมว่าประเทศที่มีการใช้พลังงานนิวเคลียส์ แม้นปัญหาจะทุกบีบจากกระแสโลก แต่เขาก้อเก่ง เช่น อย่างอิหร่าน หรือเกาหลีเหนือ ยิ่งถูกบิบยิ่งสามารถเอาตัวรอดได้
ประเทศไทยเองสบายมามากแล้ว ตอนนี้เจอปัญหาหลายๆเรื่องพร้อมกัน เราอาจจะเก่งบ้างก้อได้นะ แม้ว่าดรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่องครักษ์ นครนายกจะมีปัญหาเรื่องการโกงจนสร้างไม่เสร็จ
แต่อย่างน้อย รัฐบาลก้อน่าจะทำการศึกษาและทุ่มเทในการวิจัย พลังงานเหล่านี้ต่อไป เรื่องการคอรัชั่นก้อทำไป เรื่องวิทยาศาสตร์ก้อควรแยกอออกมาถ้าวันนี้เราเพิ่งแต่ภาคการเกษตร แบบดิบๆ มันก้อยากที่จะให้จีดีพีโตเกินสี่เปอร์เซ้นต์อย่างเนี่ยะ แล้วอย่างแปลกใจถ้าวันหนึ่งพม่าจะแซงเราไป
เมืองไทย ซักวันก็ต้องมี อยู่แล้วครับ ผมคิดอย่างนั้น
เพราะประเทศพัฒนาไปเรื่อย เราก็ต้องสร้างโรงไฟฟ้า เพื่อรองรับจำนวนการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ที่นี้โรงไฟฟ้าถ่านหินหนึ่งแห่งให้พลังงานไฟฟ้าได้ไม่เพียงพอ ก็ต้องสร้างเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ปัญหาที่ตามมาก็คือ จะสร้างที่ไหน จังหวัดนี้ก็มีโรงไฟฟ้ามีกว่าสิบแห่งแล้ว จังหวัดนู้นก็มีเยอะแล้ว ในที่สุด ผมว่าจะต้องมีโรงไฟฟ้าแห่งเดียวที่ให้พลังงานไฟฟ้าจำนวนมหาศาลเพียงพอต่อความต้องการ
เรื่องเงินลงทุนสูงเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว รวมถึงงบดูแล บำรุงรักษาด้วยแต่ผมเชื่อว่าประเทศไทยต้องมีซักวันครับ อย่าได้หนักอกเลย
แล้วรู้สึกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะก่อมลพิษทางอากาศน้อยกว่าถ่านหินหลายเท่าอยู่นะ (ยิ่งถ้าโรงไฟฟ้าถ่านหินมีเป็นสิบ ๆ โรง)
แต่กัมมันตภาพรังสีเป็นสิ่งที่น่ากลัวกว่าถ้าเกิดความผิดพลาด
ดิฉันคิดว่าที่อันตรายกว่านิวเคลียร์
คือ ความไม่รู้ของคนในชาติว่านิวเคลียร์ คืออะไร มีประโยชน์ โทษ อย่างไร เทคโนโลยีเขาไปถึงไหนกันแล้ว กำลังทำอะไรกันบ้าง
ผมให้ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่อง Nuclear Power Plants อยากให้ช่วยกันลองพิจารณาดูว่า ประเทศที่พึ่งพาพลังงานไฟฟ้าจากนิวเคลียร์เป็นจำนวนมากมีเทคโนโลยีและเงินทุนเพียงพอ…เขายังหยุดสร้างแล้วเลยแล้วหันมาพัฒนาพลังงานทดแทนอื่นๆแทน
—————————–
นี่เป็นสถิติตัวเลขโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศต่างๆ
สหรัฐ……มีใช้งาน 104 โรง…..ปิดไปแล้ว 28 โรง
ฝรั่งเศส…มีใช้งาน 59 โรง…..ปิดไปแล้ว 11 โรง
อังกฤษ…มีใช้งาน 19 โรง…..ปิดไปแล้ว 26 โรง
เยอรมัน..มีใช้งาน 17 โรง…..ปิดไปแล้ว 19 โรง
http://www.iaea.org/cgi-bin/db.page.pl/pris.charts.htm
ทั้งหมด….ไม่มีการสร้างเพิ่มเติมใหม่
ที่มา : http://www.iaea.org/cgi-bin/db.page.pl/pris.reaucct.htm
——————————————————–
ยิ่งเมื่อมาดูห้วงอายุการใช้งานแล้ว…จะเห็นได้ว่า…
การก่อสร้างโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์….มีแนวโน้มลดลงชัดเจน
2007-2003 มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์สร้างใหม่ 16 แห่ง
2002-1998 มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์สร้างใหม่ 23 แห่ง
1997-1993 มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์สร้างใหม่ 27 แห่ง
1992-1988 มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์สร้างใหม่ 45 แห่ง
1987-1983 มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์สร้างใหม่ 132 แห่ง
http://www.iaea.org/cgi-bin/db.page.pl/pris.reaopag.htm
————————————–
ผมไม่ทราบว่า เหตุผลจริง ๆ ที่เขาหยุดสร้าง แต่ถ้าให้เดา ก็คงต้องการให้ เมืองไทยเรา เป็นที่ระบายสินค้าของบริษัทสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์…เท่านั้นเองแหละ
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์มีประโยชน์และคุ้มค่าแน่นอน แต่จะสร้างได้หรือไม่ได้อยู่ที่กลุ่มผลประโยชน์ ถ้าผมประมูลได้สมมุติ 90000ล้าน
กำไร 10% ก็ 9000ล้าน ผมก็ต้องว่าดี แต่ถ้าผมแพ้ประมูล ผมก็หาเหตุผลต่างๆ นานา มาโต้แย้ง
ถ้าโต้แย้งด้วยเหตุผลแล้วไม่มีคนฟัง ผมก็ปลุกระดมคนมาประท้วง มึงสร้างกูเผาๆๆๆๆๆ เรื่องอะไรจะให้คู่แข่งมันได้ดี จริงไหมครับ
สำหรับโรงไฟฟ้า Nuclear นั้นในความคิดของผมว่ามันมีทั้งด้านบวกและด้านลบ ซึ่งต้องมาลองนั่งทบทวนดูว่าข้อดีกับข้อเสียอันไหนมันมากกว่ากัน โดยความรู้สึกแล้วโรงไฟฟ้าแบบนี้ข้อดีคือให้พลังงานไฟฟ้าค่อนข้างสูง ถ้าเทียบกับโรงไฟฟ้าแบบอื่นๆแล้ว โรงไฟฟ้า Nuclear ให้พลังงานที่สูงและคุ้มค่ากว่ามาก เพียงแต่ว่าการใช้โรงไฟฟ้า Nuclear นั้นจะเกิดกากสารพิษที่ไม่สามารถทำลายได้ และเป็นอันตรายอย่างมาก วิธีการทำลายที่ดีที่สุดก็คือนำกากสารพิษที่เหลือเหล่านี้ไปใส่ในกล่องเหล็กอย่างหนา [มากๆ] seal ให้แน่นแล้วฝั่งเอาไว้ให้ลึกที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะรังสีที่ออกมาจากกากสารพิษเหล่านั้นอันตรายมากๆ ซึ่งถ้าพูดกันตรงๆทุกการผลิตไฟฟ้าก็มีสารพิษตกค้างอยู่แล้ว ยกเว้นพวกโรงไฟฟ้าแบบ Renewable Energy เช่นแสงแดด, ลม, น้ำ และอื่นๆ ที่สารพิษที่ออกมาหลังจากนำไปทำเป็นไฟฟ้าแล้วจะน้อยกว่ามาก หรืออาจจะไม่มีเลย ถ้าพูดในระยะสั้นโรงไฟฟ้า Nuclear ถือเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าในระยะยาวนั้นไม่เป้นสิ่งที่ดีเลย เนื่องจากปรกติแล้วโลกเราก็ประสบปัญหาขยะล้นโลกอยู่แล้ว นี้ยิ่งต้องมาหาพื้นที่ทิ้งกากสารพิษเหล่านี้เพิ่มขึ้นด้วย ยิ่งไม่ช่เป็นสิ่งที่ดี อีกอย่างการทิ้งกากสารพวกนี้คงไม่สามารถนำไปฝั่งไว้ที่ไหนก็ได้ในประเทศไทย เพราะคงไม่มีใครยอมให้มีสิ่งอันตรายขนาดนั้น อยู่ใต้พื้นแผ่นดินที่อยู่อาศัยอยู่แล้ว ยิ่งถ้าพูดถึงการนำไปฝั่งไว้ใต้ทะเลยิ่งดูอันตรายเข้าไปอีก เพราะถ้าเกิดมันไปทำให้น้ำทะเล และสัตว์ต่างๆในทะเลต้องโดนกากสารพิษเหล่านี้แล้ว ผมว่ายิ่งไม่ใช่สิ่งที่น่าสนใจเท่าไร
การหันไปลงทุนกับโรงไฟฟ้าแบบ Renewable Energy น่าจะดีกว่าเพราะถึงแม้ในระยะสั้นมันจะเป็นการลงทุนที่สูง และอาจจะผลิตกระแสไฟฟ้าไม่ได้มากเท่าโรงไฟฟ้า Nuclear แต่อย่างน้อยเราก็รู้ว่า Energy เหล่านี้จะไม่มีวันหมดไป อีกทั้งยังไม่มีการเหลือกากสารพิษอีกด้วย เพราะฉะนั้นการลงทุนต่างๆผมว่าเลือกอะไรที่มันระยะยาวมากกว่านี้ดีกว่า คุณอาจจะไม่มีชีวิตอยู่จนถึงวันที่กากสารพิษเหล่านั้นล้นโลกจนมนุษย์ต้องอพยพไปอยู่ที่ดาวอื่น แต่ว่ามันก็เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเช่นกัน
ถ้าจะสร้างจริงต้องไม่ใช่แหล่งชุมชน พื้นที่น้ำท่วม มีโบราณสถานอย่างเช่น ตำบลมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท ชาวบ้านไม่ยอมแน่ ๆ เพราะเป็นแหล่งทำมาหากินของชาวบ้าน พวกเห็นแก่ตัวหวังแค่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวมขอสาปแช่งให้มีอันเป็นไป หลวงฟู่ศุขจงคุ้มครองชาวบ้านด้วย
เราต้องสูญเสียงบประมาณแผ่นดินเท่าไร เพื่อแลกกับเทคโนโลยี ที่เป็นบ่อเกิดการทำลายล้างอันมหาศาล ใครจะไปรู้ว่ามันจะไม่เกิดสงคราม อย่าสะสมสิ่งเหล่านี้ในเมืองไทยเลย ทำไมไม่ใช่งบประมาณในการพัฒนาตามภูมิปัญญา ทรัพยากรที่เรามีอยู่ละ
1.ถามง่ายๆ ครับถ้าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ปลอดภัยจริงๆ หน้าจะสร้างที่โรงไฟฟ้าบางกรวยเป็นที่แรก เป็นตัวอย่างให้ชาวบ้านเห็น เขาจะได้ไม่กลัว ถ้าไปสร้างที่ใกล้ๆบ้านเขา
2.ถามว่ามีทหารบอกว่า ผมฝังระเบิดไว้ใต้บ้านคุณ ถ้าคุณไม่ไปยุ่งกับมันมันไม่อันตราย เทียบกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ฝังกากนิวเคลียร์ไว้ แล้วบอกว่าปลอดภัย
ชาวบ้านเขาจะเชื่อไหม
3.หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเริ่มต้นก็ไม่โปร่งใส่ ไม่แจ้งชาวบ้านก่อนเข้าสำรวจ
ไปพบแต่หัวหน้าชุมชน พอเขาบอกว่าชาวบ้านไม่มีปัญหา ก็ลงมือทำเลย
พอชาวบ้านเขารู้ที่หลัง เขาคงยอมไม่ได้เพราะข้ามหัวเขาไปเหมือนชาวบ้านโง่เง่าเต็มที่ นี่ปี 2553 แล้ว ครับ
ถ้าประเทศไทยจะสร้างต้องดูกันหน่อยอีกนานเลย