เมื่อ 2 วันก่อน ผมได้ฟังการแถลงข่าวของท่าน ดร.อำพน กิตติอำพน เลขาธิการคนเก่งแห่งสภาพัฒน์ (สศช.) ดูท่าทางแข็งขัน จริงจัง เสียงดังฟังชัดว่าเศรษฐกิจไทย ในปีนี้จะติดลบ 1 ถึง 0% และเป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ 10 ปี นับจากปี 2541 เป็นต้นมา
ครับ ยังไงก็ต้องเชื่อท่าน เพราะดูแนวโน้มจากภาคการค้าและภาคเศรษฐกิจ โดยทั่วไปของภาคเอกชน ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะภาคการส่งออกของเราส่งออกได้น้อยลง การลงทุนขยายตัวน้อย ก็เนื่องจากการบริโภคมีดัชนีที่ปรับตัวลดลง ก็แล้วมันมีสาเหตุมาจากอะไรหรือครับ คำตอบก็คือ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกมันหดตัวลง โดยอยู่ระหว่าง –0.5 ถึง 0.5% โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่เป็นหัวขบวนทางเศรษฐกิจ อย่างเช่น อเมริกา-1.6% ถึง 2.3% สหภาพยุโรป –2 ถึง –2.5% อังกฤษ –2.8 ถึง-3.2% ญี่ปุ่น –2.6 ถึง-3% สิงคโปร์ –3.8% ฮ่องกง -3.8% ไต้หวัน –3% เกาหลีใต้ –3.5%
การผลิตสินค้าในไทย พึ่งพาตลาดต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ บริโภคกันเองในประเทศไม่สูงมากนัก เมื่อต้องขายให้กับต่างประเทศมากก็มีปัญหาเพราะต่างประเทศที่เคยซื้อสินค้าไทยต้องกลับมาจนกันหมด เขาจะต้องซื้อสินค้าเราน้อยลง หรือยกเลิกการซื้อสินค้าบางประเภทที่ไม่มีความจำเป็น นี่แหละครับ! คือ ความลำบากของนักธุรกิจไทย สินค้าใดที่พอขายได้ก็ยังพอประทังไปได้บ้าง สินค้าชนิดใดที่เขาเลิกซื้อ ก็ต้องปิดโรงงานกันไป พนักงานลูกจ้างก็ต้องตกงาน รัฐบาลก็ต้องเดือดร้อนไปตามระเบียบ
ใครมาเป็นรัฐบาลในช่วงนี้ ก็ต้องตกอยู่ในฐานะที่ลำบากด้วยกันทั้งสิ้น แต่ผมมั่นใจอยู่ประการหนึ่งคือ ประเทศไทยทั้งภาคเอกชนและรัฐบาลเรามีประสบการณ์กันมาแล้วในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ประสบการณ์ที่ผ่านมาจะทำให้เราตั้งรับได้ดีกว่าประเทศอื่น จะเห็นได้ว่าภาคเอกชนเราทราบล่วงหน้ามาแล้วว่า สถานการณ์จะเป็นเช่นนี้ หลายบริษัทเตรียมตัว ปรับตัวมาตั้งแต่ 6 เดือนที่แล้ว โดยการลดต้นทุน ลดสต๊อก ลดการนำเข้าวัตถุดิบลดปริมาณการผลิต และเตรียมความพร้อมด้านสภาพคล่องของเงิน คือ พูดง่ายๆ ทำให้ตัวเบาลงจะได้อยู่รอดในช่วงวิกฤตนี้ไปก่อน
อย่างไรก็ตาม วิกฤตครั้งนี้เป็นวิกฤตของโลก ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยประเทศเดียว การแก้ไขจึงไม่ง่าย จะต้องอาศัยรัฐบาลทุกรัฐบาล ทั่วโลก พร้อมใจกันแก้ปัญหาจึงจะทุเลาลงได้ ลำพังรัฐบาลไทยเพียงรัฐบาลเดียว ผมยืนยันได้เลยว่าไม่มีทางสำเร็จ ดังนั้น ประเทศต่างๆ จึงได้เตรียมหารือร่วมกัน และมีมาตรการร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหา เช่น ประเทศในกลุ่มอาเซียนของเรา ก็กำลังจะมีประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนเร็วๆ
นี้ที่หัวหินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ผมเชื่อว่าจะมีมาตรการอะไรดี ๆ ออกมาให้พวกเราได้เห็นกัน ขอให้คอยฟังข่าวดีนะครับ
ภาคเอกชนคาดการณ์กันว่าวิกฤตคราวนี้กว่าจะฟื้นตัวได้ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี และจะให้กลับมามีสภาพเดิมจะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี อันนี้ไม่ได้มาเล่าให้เกิดความกลัวหรือวิตกกังวลนะครับ ถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริง พวกเราก็ต้องจะระมัดระวังมากขึ้น รอบคอบมากขึ้น และไม่ตกอยู่ในความประมาท ก็จะทำให้พวกเราอยู่รอดได้ ขอให้ทุกท่านมีกำลังใจและเข้มแข็งไว้นะครับ เราต้องเชื่อมั่นในประเทศไทยของเราว่าอยู่รอดได้แน่นอนครับผมว่าวิกฤตครั้งนี้ไม่ได้สร้างความเลวร้าย และความเจ็บปวดให้เราอย่างเดียว แต่ยังสร้างบทเรียนและประสบการณ์ที่มีคุณค่าให้เรา น่าจะทำให้เราเข้มแข็งมากขึ้น
โดย
ประพัทธ์โชต ธนวรศาสตร์
ใส่ความเห็น