Feeds:
เรื่อง
ความเห็น

Archive for the ‘ความคิดเห็น’ Category

เมื่อวันอังคารที่ 22 มกราคมที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีชุดพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ประชุมกันเป็นนัดสุดท้าย เป็นการบอกสาธารณชนทั้งหลายว่า รัฐบาลนี้ได้หมดบทบาทและหน้าที่ลงแล้ว รัฐมนตรีแต่ละท่านเตรียมเก็บของใช้ส่วนตัวกลับบ้านไปด้วยความโล่งอก สบายตัวที่ได้พ้นภาระกันเสียที

ถึงแม้ว่ารัฐบาลชุดนี้จะจากไป แต่ก็ไม่ได้จากไปพร้อมกับปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งยังคงค้างคาไว้ให้รัฐบาลชุดใหม่มารับภาระต่อไปอย่างมากมาย และในช่วงปลายรัฐบาลนี้ ปัญหาเศรษฐกิจได้ถาโถมเข้ามาอีกระลอก มีทั้งปัญหาราคาน้ำมัน สินค้าขึ้นราคา ค่าเงินบาทแข็ง ประชาชนหมดอำนาจซื้อ รวมไปถึงแก๊ซหุงต้ม ค่ารถเมล์ ขึ้นราคากันหมด ชาวบ้านรายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ทำให้เศรษฐกิจถดถอยซึมเซา แต่รัฐบาลชุดนี้ ท่านก็มิได้เห็นหรือทำอะไรกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น

โรคเก่าไม่ทันหาย โรคใหม่ก็เข้ามาอีก ครั้งนี้ดูเหมือนจะอาการหนัก เพราะมันเป็นวิกฤติเศรษฐกิจของโลก เกิดจากปัญหา Sub-prime ของอเมริกา ที่มีผลกระทบรุนแรงและกว้างขวางมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งสื่อมวลชนขนานนามว่า “วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์” หรือแม้แต่ “พ่อมดการเงิน” อย่าง จอร์จ โซรอส ยังบอกว่า วิกฤติครั้งนี้ ร้ายแรงที่สุดในรอบ 60 ปี หลังจากสงครามโลกครั้งที่ สองเป็นต้นมาไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง และวิกฤติครั้งนี้มีผลกระทบกับไทยแน่ๆ

ขนาดโรคเก่า เป็นโรคธรรมดาเรายังรักษากันไม่หาย โรคใหม่เป็นโรคสากล ที่มาจากแดนไกล มีอาการรุนแรง เราจะไปเอายาที่ไหนมารักา หมอที่มีอยู่ก็มองไม่เห็นตัวว่า จะมีหมอคนไหนที่มีฝีมือและอาสาเข้ามาช่วยรักษา ผมดูแล้วค่อนข้างจะอ่อนใจเหมือนกัน แต่ยังไม่ท้อใจนะครับ

เมื่อเป็นเช่นนี้ รัฐบาลใหม่ที่จะต้องเข้ามาทำหน้าที่ต่อจากรัฐบาลเก่า ย่อมจะต้องหาขุนคลัง มือเศรษฐกิจที่เก๋าเกมส์ รู้สมุห์ฐานของโรคและรู้วิธีรักษา หรือพูดง่ายๆว่า “มือถึง และ ใจถึง “ มิเช่นนั้นแล้วก้เอาไม่อยู่จริงๆครับ

เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา มีท่านผู้รู้หลายท่านได้ออกมาให้ความเห็นเสนอแนะดีๆหลายประเด็นด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นท่านปรีดิยาธร เทวกุลฯ ท่านดร.โอฬาร ไชยประวัติ ซึ่งมีปรากฎในหน้าสื่อมวลชนไปแล้ว แต่ที่น่าสนใจเป็นพิเศษ คือท่านประมนต์ สุธีวงศ์ของผม ท่านได้ให้ความเห็นไว้ค่อนข้างเป็นรูปธรรมและเป็นทางออกที่น่าจะเป็นไปได้ คือ ท่านเสนอให้รัฐบาลใหม่ ใช้มาตรการทางการคลัง อัดฉีดเงินงบประมาณเข้าไปอีก 80,000 ล้านบาท เพิ่มจากงบประมาณปี 51 ที่มีอยู่1.6 ล้านล้านบาท ขาดดุล 110,000 ล้านบาท ทำให้การขาดดุลงบประมาณอยู่ในระดับไม่เกิน 200,000 ล้านนบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 2.5 ของ GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) งบที่อัดฉีดนี้ ท่านให้จ่ายเป็น 2 ส่วน คือ 40,000 ล้านบาทแรก ให้ใช้กับการลดอัตราภาษีเงินได้ให้ผู้มีรายได้น้อย เพื่อให้เขาเหล่านั้นมีเงินไปใช้จ่าย และชดเชยภาษีบางส่วนและส่งเสริมให้เอกชนรายเล็กๆได้มีการลงทุนสามารถดำรงธุรกิจของตนเองอยู่ได้

ส่วนอีก 40,000 ล้านบาทที่สอง ท่านเสนอให้นำไปสร้างรายได้ในชนบท โดยก่อสร้างสาธารณูปโภค เพื่อให้เกิดการจ้างงานและมีรายได้ไปใช้จ่ายซึ่งรัฐบาลใหม่ที่เข้ามาบริหารประเทศควรจะกำหนดโครงการทันที และก็เร่งรัดให้มีการใช้จ่ายงบประมาณโดยเร็ว

สำหรับมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 ที่ทำอยู่ในปัจจุบัน ท่านบอกว่า หากจะยกเลิกต้องมีมาตรการรองรับ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ต้องไตรตรองให้รอบคอบ ในขณะเดียวกัน ท่านก็ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(แบงค์ชาติ) พิจารณาว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ ซึ่งจะต้องดูผลกระทบค่าเงินบาทและอัตราเงินเฟ้อด้วย หากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อสูง อาจจำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ยลงบ้าง

ผมเข้าใจว่า ที่นำมาเสนอทั้งหมดนี้ ทั้งว่าที่นายกรัฐมนตรีและว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คงจะได้รับทราบบ้างแล้ว และคงจะเตรียมพร้อมเป็นอย่างดีแล้วว่าจะต้องทำอะไรบ้าง หวังว่า หลังได้รับตำแหน่ง ก้นถึงเก้าอี้เมื่อไร ก็ลงมือทำกันได้อย่างเต็มที่เลย 

แต่ถ้าถึงวันนั้น ท่านมาบอกกับพวกเราว่า “ขอศึกษาก่อน” ก็ตัวใครตัวมันนะครับ

Read Full Post »

child.jpg

สังคมนี้ มีส่วน ที่ยวนยั่ว

ให้เด็กชั่ว  ก่อกรรม  กระทำเข็ญ

พอสังคม  โทรมทรุด  สุดลำเค็ญ

เด็กจึงเป็น  ปัญหา  น่าหนักใจ

หนังเข่นฆ่า  อาฆาต ฉายดาษดื่น

เด็กชมชื่น  จำติด  เป็นนิสสัย

พวกของเล่น  เกณฑ์พนัน  ล้วนจัญไร

เด็กจำไป  เล่นเพลิน  ผลาญเงินตรา

เรื่องลามก  รกเมือง  เฟื่องภาพโป๊

แฟชั่นโชว์  โค้งเว้า  เร้าตัณหา

โรงเรียนติด  ชิดกับ  ไนท์คลับบาร์

เด็กไม่บ้า  ตามผู้ใหญ่  ก็ใจเย็น


ทำอะไรก็ให้นึกถึงเด็กนะครับ … เพราะลูกหลานเราทั้งนั้น

Read Full Post »

show.jpg

ธุรกิจหลักของสังคมไทยจากอดีตถึงปัจจุบัน เป็นธุรกิจซื้อมา-ขายไป ซึ่งจัดตั้งเป็นร้านค้าขนาดเล็กกระจายอยู่ทั่วประเทศไทย ตั้งแต่ระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล ไปจนกระทั่งถึงระดับหมู่บ้าน

ร้านค้าเหล่านี้จะมีทั้งประเภทขายรวม คือ ของกินของใช้และของชำ และมีทั้งประเภทขายเดี่ยว คือ ประเภทเครื่องมือ เครื่องใช้ เคมีภัณฑ์ การเกษตร ยา และวัสดุก่อสร้าง
ธุรกิจเหล่านี้ เป็นแกนหลักในการกระจายสินค้าจากผู้ผลิตไปถึงมือผู้บริโภคทุกหัวระแหงของประเทศ หล่อเลี้ยงอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศให้เจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง สร้างรายได้ทั่วประเทศคิดเป็น GDP ไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร

นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดการสร้างงาน ทำให้คนมีงานทำทั่วประเทศมากมายมหาศาล และที่สำคัญ ” ธุรกิจโชวห่วย … เป็นธุรกิจครอบครัว “ เลี้ยงครอบครัวทั่วประเทศให้มีอยู่มีกิน มีฐานะส่งลูกหลานเรียนจนได้ดิบได้ดี เป็นใหญ่เป็นโต มีฐานะมั่นคงเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด นักธุรกิจระดับใหญ่ของประเทศหลายคนก็มาจากครอบครัวธุรกิจ ” โชวห่วย ”

จนมาถึงวันนี้ ธุรกิจโชว์ห่วย อันถือเป็นแกนหลักทางเศรษฐกิจของประเทศ ของสังคมและของครอบครัว กำลังเกิดปัญหา ถูกรุกรานจากต่างชาติ จนเกือบจะหาที่ยืนไม่ได้ ไม่ต่างอะไรกับค่ายบางระจันที่รอวันแตกพ่าย โดยที่ภาครัฐยื่นมือเข้าไปช่วยช้ามาก เรียกว่า กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้แล้ว ไม่ทันการณ์ เอาแต่เรียกร้องให้ภาคเอกชนปรับตัว
ผมก็ไม่ทราบว่าภาครัฐกับภาคเอกชน ใครควรปรับตัวก่อนใคร แต่ในความรู้สึกของผม ผมรู้แต่ว่า ภาครัฐต้องเป็นผู้นำ ส่วนท่านจะนำอย่างไรนั้น ท่านต้องมีวิธีการของท่านแต่ที่ผ่านมา ผมยืนยันได้เลยว่า … ท่านยังไม่ได้นำครับ

ความจริงแล้ว ในเรื่งผลกระทบจากห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ของต่างชาติ หรือที่เราเรียกกันว่า ” ธุรกิจข้ามชาติ “ นั้น เราเรียกร้องกันมาเกือบ 7 ปีแล้ว แต่ไม่มีอะไรคืบหน้า รัฐอ้างว่าเราไม่มีกฏหมายโดยตรง แล้วก็หาทางออกโดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปช่วยกันหาทางแก้ด้วยการใช้กฏหมายผังเมืองบ้าง กฏหมายควบคุมอาคารบ้าง  ใช้เทศบัญญัติที่เป็นกฏหมายปกครองท้องถิ่นบ้าง
แต่กฏหมายตรงๆที่เกี่ยวข้องกับค้าปลีกไม่มี บรรดาผู้ค้าปลีกทั้งหลายก็เรียกร้องว่า

” เมื่อไม่มีแล้ว ทำไมไม่รีบทำ? “


ก็ได้รับคำตอบว่า ” … ขั้นตอนมันเยอะ ”

นี่แหล่ะครับ มันเป็นเรื่องที่เราไม่ใส่ใจตั้งแต่ 7 ปีที่แล้ว จนกระทั่งมาวันนี้ คณะรัฐมนตรีขิงแก่เพิ่งผ่านความเห็นชอบ พ.ร.บ. ค้าปลีกออกมา ซึ่งใช้เวลาทำเรื่องนี้อยู่เกือบ 1 ปีเต็ม แต่ก็ยังถือว่า อยู่ในห้วงเวลาที่พอจะช่วยได้ แต่ก็ทำแบบไฟลนก้นไปหน่อย

ความจริง ผมไม่ได้รังเกียจธุรกิจข้ามชาติหรือต่างชาติหรอกนะครับ แต่ว่าเมื่อเข้ามาทำมาหากินในบ้านเรา ก็ควรจะต้องมีระบบที่ทำให้เรากับเขาอยู่ร่วมกันได้ ไม่ใช่ “เขามา – เราตาย ” หรือให้ “เขาไป – เราอยู่ ” อย่างนี้มันก็จะมีแต่ความขัดแย้ง สังคมไม่สงบสุขผมยังยืนยันว่า เรื่องนี้ต้องเป็นหน้าที่ของรัฐอย่างแน่นอนครับ ที่จะต้องเข้ามาบริหารจัดการเรื่องนี้ให้เรีบยร้อย และทำให้ธุรกิจโชว์ห่วยของเรา พัฒนาเติบโตและเป็นแกนหลักสำคัญทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศชาติต่อไป

Read Full Post »

tuan.jpg

เพื่อนเก่าของผมคนหนึ่งชื่อ ธาริต เพ็งดิษฐ์ เป็นรองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) ได้พูดถึงคดีทุจริตทางเศรษฐกิจของบริษัทไทยว่า มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกปี นับตั้งแต่ปี 2537 ที่เริ่มก่อตั้ง DSI ขึ้นมา เพิ่มขึ้นถึง 200% ในปี 2549 แถมยังบอกอีกว่า ในปี 2550 ผ่านไปแล้ว 9 เดือน เพิ่มขึ้นมาเยอะมาก … และคาดว่า เมื่อถึงสิ้นปี จะเพิ่มถึง 200% แน่นอนครับ

รวมคดีที่ทำมาทั้งหมด มีมากกว่า 300 คดี ได้ส่งฟ้องศาลและอยู่ในขั้นตอนอัยการส่งสำนวนฟ้องจำนวน 200 คดี ยังเหลือคงค้างอีกกว่า 100 คดี

คดีที่พบว่ามีการทุจริตกันมากที่สุด 7 อันดับแรกคือ

– ตกแต่งบัญชี
– ทุจริตผ่องถ่ายหรือถ่ายเทเงินออกนอกบริษัท(ไซฟ่อน)
– สร้างต้นทุนเท็จ
– ให้บุคคลอื่นกู้เงิน
– โอนกำไรระหว่างบริษัท
– ทุจริตด้านภาษีอากร
และ ทุจริตโดยใช้ข้อมูลภายใน (Inside)

เมื่อถามว่า ทำไมการทุจริตมันถึงได้มากขึ้นทุกปี คุณธาริตบอกว่า …

”  … สาเหตุที่ทำให้การทุจริตของบริษัทเอกชนไทยเพิ่มสูงขึ้น เพราะกฏหมายมีบทลงโทษที่ไม่รุนแรง ทำให้ผู้กระทำผิดไม่เกรงกลัว …  ”

นี่แหล่ะครับ ทำให้สังคมเป็นห่วงและวิตกกังวลกันยกใหญ่ กระแสเรียกร้องถึงคุณธรรมและจริยธรรมจึงกึกก้องไปทั้งแผ่นดิน

เพราะอะไรครับ …

ก็เพราะว่าวิกฤติของประเทศที่เกิดขึ้น และเป็นปัญหาอยู่ทุกวันนี้มันมีสาเหตุมาจากความไม่ซื่อสัตย์ ขาดจรรยาบรรณในการประกอบวิชาชีพ ไม่ว่าจะเป็นภาคเอกชนหรือภาครัฐก็ตาม ล้วนแต่เป็นปัญหาทั้งสิ้น ทำให้ประเทศชาติขาดความน่าเชื่อถือ เดินหน้าก็ไม่ได้ วางตัวก็ลำบาก ติดต่อกับต่างประเทศก็ไม่ค่อยมีใครต้อนรับ จะชวนประเทศไหนเข้ามาลงทุนเขาก็หวาดระแวงกลัวเราจะโกง 

มันถึงเวลาตั้งนานแล้วครับที่เราจะต้องสร้างความเชื่อมั่น ทำให้ต่างชาติเขาเห็นว่า เราเป็นชาติที่มีความโปร่งใส จริงใจ ไร้มลทินเสียที เริ่มทำกันวันนี้ก็ไม่สายนะครับ

ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญระดับต้นๆ รัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญในเชิงนโยบายอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ควรจะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นวาระแห่งชาติ แก้ไขปัญหานี้ให้ทุเลาอย่างเป็นรูปธรรม เพราะที่ผ่านมาทำกันแบบไฟไหม้ฟาง ทำๆหยุดๆ มีปัญหาเมื่อไรก็หยิบมาพูดกันเสียทีหนึ่ง ทำให้ปัญหาพอกพูน หมักหมม และกลายเป็นมะเร็งร้ายของประเทศไปในที่สุด

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมขอชวนท่านทั้งหลายมาดูภาพลักษร์ของไทยในสายตาของชาวโลก จากรายงาน “ดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น (Corruption Perception Index-CPI) ของ องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ”

เขาเปิดเผยไว้ในรายงานประจำปี 2550 ได้จัดอันดับประเทศต่างๆ โดยให้คะแนเต็ม10 แล้วก็เรียงจากมากไปหาน้อย ใครได้คะแนนมาก แปลว่ามีภาพลักษณ์ดี โกงน้อย แต่ถ้าใครได้คะแนนน้อย แปลว่า ภาพลักษณ์ห่วย ถือว่าโกงมากไปจนถึงโคตรโกง

(ดาวน์โหลดเพื่อชมผลสรุปคะแนนได้ที่นี่)

หลังจากให้คะแนนกันแล้วทั้งหมด 180 ประเทศ ปรากฏว่า ประเทศไทยได้ 3.3 คะแนน อยู่ในอันดับที่ 84 เลยครับ หล่นจากปีที่แล้วที่ได้ 3.6 คะแนน ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 63 อันนี้เป็นระดับโลกนะครับ

แต่ถ้าเรามาดูกันเฉพาะในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก ซึ่งจัดอันดับกันไว้จำนวน 32 ประเทศ ของไทยเราจะอยู่ในอันดับที่ 14 ครับ

ผมดูจากคะแนนที่ประเทศไทยได้รับนั้น ยังไม่ถึงครึ่ง (5 คะแนน) สะท้อนให้เห็นถึงระดับความรุนแรงของปัญหาคอร์รัปชั่นในบ้านเรา ซึ่งเราคงปฏิเสธกันไม่ได้ว่ามีอยู่จริง และมากมายจนเป็นเรื่องปกติ ดูเหมือนว่า สังคมเริ่มจะมีทัศนคติแบบผิดๆคือ ใครไม่โกง คนนั้นสิโง่

ถ้าค่านิยมเป็นอย่างนี้ ผมคิดว่า “อันตราย” ครับ ความหายนะจะมาเยือนประเทศเราอย่างแน่นอน

ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการปรับปรุงความโปร่งใสกันอย่างจริงจัง ร่วมกันสร้างระบบตรวจสอบให้มีความแข็งแกร่ง ร่วมมือกับภาคประชาสังคมอย่างใกล้ชิด อบรมสั่งสอน รณรงค์ให้เยาวชนมีจิตสำนึก มีคุณธรรมและจริยธรรม อย่าอุ้มชูข้าราชการหรือเอกชนที่คอร์รัปชั่น อย่านับถือคนที่ร่ำรวยมาจากการทุจริต

ซึ่งเรื่องนี้ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยได้ตระหนักอยู่ตลอดเวลา คณะกรรมการของเราทำเรื่องจรรยาบรรณมากว่า 6 ปีแล้ว โดยทำในกลุ่มของสมาชิก รวมทั้งหอการค้าทั่วประเทศด้วย เริ่มทำให้สังคมเห็นความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ

แต่บอกตามตรงว่า งบประมาณเรามีจำกัดครับ ผู้สนับสนุนก็มีน้อย ถ้ารัฐบาลโดดมาเล่นเรื่องนี้อย่างจริงจังและสนับสนุนเราได้ ผมเชื่อว่าภาพลักษณ์ความโปร่งใสเราจะดีขึ้นแน่นอนเลยครับ

Read Full Post »

เมื่อวันที่ 26 กันยายนที่ผ่านมา มีข่าวฮือฮาที่ท่านอธิบดีฯชวลิต เศรษฐเมธีกุล แห่งกรมศุลกากร
สวมบทเปาบุ้นจิ้น  สั่งทุบรถหรู ยี่ห้อเฟอร์รารี่ รุ่น 456 จีที สีเทา ที่ไปยึดได้จากอู่เบนซ์ แอล.เค
จังหวัดสมุทรปราการ โดยพบว่า … รถคันดังกล่าว มีการถอดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์สำคัญออกไปเกือบหมด
ferrari11.jpg การกระทำดังกล่าวของกลุ่มที่นำรถเข้า ก็เพื่อเป็นกลลวงให้เห็นว่า เป็นรถที่อุปกรณ์ไม่ครบ
ราคาจะได้ไม่สูง เมื่อกรมศุลกากรเปิดประมูล จะได้ย้อนกลับมาประมูลออกไป เพื่อให้เป็นรถถูกกฏหมาย
เมื่อได้รถไปแล้วก็จะนำอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ใส่เข้าไปเหมือนเดิม แล้วก็นำรถออกไปขายได้กำไรงาม

 ภาษีก็ไม่ต้องเสียเต็มเม็ดเต็มหน่วยการเปิดประมูลดูเหมือนว่า มันจะยุติธรรม เพราะเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าประมูลได้ด้วย ถ้าใครมีเงินแล้วอยากได้รถหรู
ก็ประมูลเอาไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนทั่วไปอย่างท่าน อย่างผม ประมูลไปก็ไม่คุ้มหรอกครับ
ก็เพราะว่ารถที่ประมูลได้ มันขาดอุปกรณ์สำคัญ จะไปหาซื้อได้ที่ไหน ต้องสั่งจากต่างประเทศในราคาแพง
หรือไม่ก็ไอ้กลุ่มที่ฟอกรถทั้งหลายนั่นแหล่ะครับ มันจะนำอุปกรณ์นั้นมาเสนอขายเสียเองในราคาที่แพง
เพราะมันต้องการกำไรอยู่แล้ว

ผมต้องขอชื่นชมในการตัดสินใจของท่านอธิบดีฯจริงๆครับ
และยิ่งเมื่อเห็นภาพของการทุบรถในครั้งนี้ มันรู้สึกสะใจจริงๆ

ferrari21.jpg


ผมเองก็ไม่ใช่พวกซาดิสต์หรือชอบความรุนแรงอะไรนะครับ แต่มันประทับใจในความถูกต้อง
ความตรงไปตรงมาและความมุ่งมั่นของผู้ปฏิบัติงานในกรมศุลกากร
ซึ่งผมในฐานะประชาชนอยากเห็นมานานแล้ว
 
ท่านอธิบดีฯครับ การกระทำของท่านในวันนี้ มันจะเป็นบรรทัดฐานและเป็นมาตรฐานในการปฏิบัติงาน
ของท่านเองในวันข้างหน้า และเป็นมาตรฐานให้กับคนอื่นๆที่จะมาทำหน้าที่อธิบดีกรมศุลกากรต่อไป
 

เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ต่อไปนี้ท่านต้องทุบให้หมดนะครับ ต้องทุบทุกยี่ห้อ ทุบของทุกคนที่มันบังอาจนำเข้า
ต้องไม่เห้นแก่หน้าใครทั้งนั้น การทุบรถครั้งนี้ก็เห็นชัดเขนอยู่แล้วว่ากลุ่มไหน
และใคร ที่มีอาการ
ดิ้นพล่านให้ปรากฏอย่างกับว่า ท่านอธิบดีฯไป ทุบหัว มันด้วย ยังไงยังงั้นเลยครับ มขอขอบคุณท่านสมหมาย ภาษี ด้วยครับ ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
ที่ทำหน้าที่กำกับดูแลกรมศุลกากรและเปิดไฟเขียวให้ดำเนินการได้ในครั้งนี้สุดยอดของรัฐบาลขิงแก่
จริงๆเลยนะครับท่านถ้าท่านมีแนวทางและนโยบายที่ชัดเจนเช่นนี้ ผมว่าเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรจะทำหน้าที่ได้
อย่างสบายใจไม่ต้องกังวลว่าหน่วยงานไหนหรือผู้หลักผู้ใหญ่คนไหนจะมายับยั้ง จะมาขอหรือจะมาขัดขวาง
ผมว่าท่านทำถูกต้องแล้วประชาชนคงชื่นชมและสนับสนุนท่านอย่างแน่นอนครับ
 ประชาชนคนทั่วไป ที่จะทำธุรกิจและเสียภาษีอย่างถูกต้องและเต็มเม็ดเต็มหน่วย
เขาเจ็บปวดกับเรื่องนี้เป็นอย่างมากเพราะมันไม่เป็นธรรมในทางธุรกิจ
เขาเสียเปรียบที่อีกฝ่ายไม่ต้องเสียอะไรเลย กลับมีรายได้เป็นล่ำเป็นสัน มีหน้ามีตา
เป็นที่ยอมรับของสังคม เจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็ทำอะไรไม่ได้ มันเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีเลยครับ
และมันกำลังจะกลายเป็นวัฒนธรรมที่เลวร้าย ซึ่งจะนำพาสังคมและประเทศชาติ
ไปสู่ความล่มสลายในอนาคตได้ไม่ยากนัก 

 เพราะฉะนั้นแล้ว อย่าได้นิ่งดูดายกันอีกต่อไปเลยนะครับ 
ผมขอกราบแทบเท้าทุกท่านได้โปรดช่วยกันเป็นหูเป็นตา ดูแล
ตรวจสอบและร่วมกันกวาดล้างให้บ้านเมืองของเราสะอาดเสียที 
 

ผมขอเป็นกำลังใจ และสนับสนุนอย่างเต็มที่นะครับ

Read Full Post »