เมื่อวันอังคารที่ 22 มกราคมที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีชุดพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ประชุมกันเป็นนัดสุดท้าย เป็นการบอกสาธารณชนทั้งหลายว่า รัฐบาลนี้ได้หมดบทบาทและหน้าที่ลงแล้ว รัฐมนตรีแต่ละท่านเตรียมเก็บของใช้ส่วนตัวกลับบ้านไปด้วยความโล่งอก สบายตัวที่ได้พ้นภาระกันเสียที
ถึงแม้ว่ารัฐบาลชุดนี้จะจากไป แต่ก็ไม่ได้จากไปพร้อมกับปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งยังคงค้างคาไว้ให้รัฐบาลชุดใหม่มารับภาระต่อไปอย่างมากมาย และในช่วงปลายรัฐบาลนี้ ปัญหาเศรษฐกิจได้ถาโถมเข้ามาอีกระลอก มีทั้งปัญหาราคาน้ำมัน สินค้าขึ้นราคา ค่าเงินบาทแข็ง ประชาชนหมดอำนาจซื้อ รวมไปถึงแก๊ซหุงต้ม ค่ารถเมล์ ขึ้นราคากันหมด ชาวบ้านรายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ทำให้เศรษฐกิจถดถอยซึมเซา แต่รัฐบาลชุดนี้ ท่านก็มิได้เห็นหรือทำอะไรกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น
โรคเก่าไม่ทันหาย โรคใหม่ก็เข้ามาอีก ครั้งนี้ดูเหมือนจะอาการหนัก เพราะมันเป็นวิกฤติเศรษฐกิจของโลก เกิดจากปัญหา Sub-prime ของอเมริกา ที่มีผลกระทบรุนแรงและกว้างขวางมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งสื่อมวลชนขนานนามว่า “วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์” หรือแม้แต่ “พ่อมดการเงิน” อย่าง จอร์จ โซรอส ยังบอกว่า วิกฤติครั้งนี้ ร้ายแรงที่สุดในรอบ 60 ปี หลังจากสงครามโลกครั้งที่ สองเป็นต้นมาไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง และวิกฤติครั้งนี้มีผลกระทบกับไทยแน่ๆ
ขนาดโรคเก่า เป็นโรคธรรมดาเรายังรักษากันไม่หาย โรคใหม่เป็นโรคสากล ที่มาจากแดนไกล มีอาการรุนแรง เราจะไปเอายาที่ไหนมารักา หมอที่มีอยู่ก็มองไม่เห็นตัวว่า จะมีหมอคนไหนที่มีฝีมือและอาสาเข้ามาช่วยรักษา ผมดูแล้วค่อนข้างจะอ่อนใจเหมือนกัน แต่ยังไม่ท้อใจนะครับ
เมื่อเป็นเช่นนี้ รัฐบาลใหม่ที่จะต้องเข้ามาทำหน้าที่ต่อจากรัฐบาลเก่า ย่อมจะต้องหาขุนคลัง มือเศรษฐกิจที่เก๋าเกมส์ รู้สมุห์ฐานของโรคและรู้วิธีรักษา หรือพูดง่ายๆว่า “มือถึง และ ใจถึง “ มิเช่นนั้นแล้วก้เอาไม่อยู่จริงๆครับ
เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา มีท่านผู้รู้หลายท่านได้ออกมาให้ความเห็นเสนอแนะดีๆหลายประเด็นด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นท่านปรีดิยาธร เทวกุลฯ ท่านดร.โอฬาร ไชยประวัติ ซึ่งมีปรากฎในหน้าสื่อมวลชนไปแล้ว แต่ที่น่าสนใจเป็นพิเศษ คือท่านประมนต์ สุธีวงศ์ของผม ท่านได้ให้ความเห็นไว้ค่อนข้างเป็นรูปธรรมและเป็นทางออกที่น่าจะเป็นไปได้ คือ ท่านเสนอให้รัฐบาลใหม่ ใช้มาตรการทางการคลัง อัดฉีดเงินงบประมาณเข้าไปอีก 80,000 ล้านบาท เพิ่มจากงบประมาณปี 51 ที่มีอยู่1.6 ล้านล้านบาท ขาดดุล 110,000 ล้านบาท ทำให้การขาดดุลงบประมาณอยู่ในระดับไม่เกิน 200,000 ล้านนบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 2.5 ของ GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) งบที่อัดฉีดนี้ ท่านให้จ่ายเป็น 2 ส่วน คือ 40,000 ล้านบาทแรก ให้ใช้กับการลดอัตราภาษีเงินได้ให้ผู้มีรายได้น้อย เพื่อให้เขาเหล่านั้นมีเงินไปใช้จ่าย และชดเชยภาษีบางส่วนและส่งเสริมให้เอกชนรายเล็กๆได้มีการลงทุนสามารถดำรงธุรกิจของตนเองอยู่ได้
ส่วนอีก 40,000 ล้านบาทที่สอง ท่านเสนอให้นำไปสร้างรายได้ในชนบท โดยก่อสร้างสาธารณูปโภค เพื่อให้เกิดการจ้างงานและมีรายได้ไปใช้จ่ายซึ่งรัฐบาลใหม่ที่เข้ามาบริหารประเทศควรจะกำหนดโครงการทันที และก็เร่งรัดให้มีการใช้จ่ายงบประมาณโดยเร็ว
สำหรับมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 ที่ทำอยู่ในปัจจุบัน ท่านบอกว่า หากจะยกเลิกต้องมีมาตรการรองรับ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ต้องไตรตรองให้รอบคอบ ในขณะเดียวกัน ท่านก็ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(แบงค์ชาติ) พิจารณาว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ ซึ่งจะต้องดูผลกระทบค่าเงินบาทและอัตราเงินเฟ้อด้วย หากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อสูง อาจจำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ยลงบ้าง
ผมเข้าใจว่า ที่นำมาเสนอทั้งหมดนี้ ทั้งว่าที่นายกรัฐมนตรีและว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คงจะได้รับทราบบ้างแล้ว และคงจะเตรียมพร้อมเป็นอย่างดีแล้วว่าจะต้องทำอะไรบ้าง หวังว่า หลังได้รับตำแหน่ง ก้นถึงเก้าอี้เมื่อไร ก็ลงมือทำกันได้อย่างเต็มที่เลย
แต่ถ้าถึงวันนั้น ท่านมาบอกกับพวกเราว่า “ขอศึกษาก่อน” ก็ตัวใครตัวมันนะครับ