โดย ประพัทธ์โชต ธนวรศาสตร์
อยู่ ๆ ก็มีข่าวพรรคเพื่อไทยเตรียมเสนอกฎหมายนิรโทษกรรม เพื่อล้างมลทิน
ให้กับผู้กระทำผิด ทั้งก่อน 19 กันยายน และหลัง 19 กันยายน 2550 ฟังดูหลักการเผิน ๆ
ถ้าไม่ทราบรายละเอียด ก็น่ารับฟังไม่น้อย เพราะอ้างหลักความสมานฉันท์ให้กับคนในชาติ
บ้านเมืองที่กำลังขัดแย้งกันอยู่ในเวลานี้
ผมรู้สึกเป็นห่วงอยู่หลายประเด็นด้วยกัน โดยเฉพาะหลักการสำคัญคือ หลักของ
การออกกฎหมายที่จะต้องออกเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ของประเทศ นี่แค่เพียงหลักเดียว
ก็ยังสร้างความสงสัยให้กับคนทั้งประเทศเสียแล้ว ว่าทำไม ส.ส.ที่ได้รับการเลือกตั้งมาจาก
ประชาชน จึงได้ตัดสินใจออกกฎหมายที่ดูแล้วไม่น่าจะเป็นประโยชน์กับประชาชนเอาเสียเลย
จากการพูดคุยกับคนในหลายวงการ ก็มีข้อสงสัยอีกมากมาย หลายประการ ผม
ขอนำข้อสงสัยมานำเสนอ เพื่อให้ท่านทั้งหลายรวมทั้งรัฐบาลและส.ส.ได้นำไปคิดและพิจารณา
ว่าสิ่งที่ท่านกำลังจะทำนั้น มันถูกหรือผิด และเป็นประโยชน์กับชาติบ้านเมืองมากน้อยเพียงใด
ข้อสงสัยประการแรก พรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชน รวมถึงพรรค
การเมืองอื่นที่ถูกยุบนั้น เป็นพรรคการเมืองที่ทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญใช่หรือไม่ ถ้าใช่ก็
หมายถึงท่านได้กระทำผิด ตามคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ การออกกฎหมายนิรโทษกรรม
ก็เท่ากับเป็นการลบล้างคำพิกษาของศาลรัฐธรรมนูญใช่หรือไม่ ถ้าใช่ก็เท่ากับว่ากฎหมาย
รัฐธรรมนูญและคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญก็ไร้ความหมาย ไร้ความศักดิ์สิทธิ์ หมดความ
น่าเชื่อถือ รวมทั้งนักการเมืองทั้งหลายที่ร่วมกันกระทำในครั้งนี้ ก็ไม่น่าเชื่อถือด้วยเช่นกัน
ใช่หรือไม่
ข้อสงสัยประการที่สอง การออกกฎหมายในลักษณะนี้ ทำไมไม่ให้ผู้เกี่ยวข้อง
หรือผู้มีส่วนได้เสียเข้ามามีส่วนร่วม แต่นี่ผู้เสนอกับผู้ได้รับประโยชน์กลับเป็นคนกลุ่มเดียวกัน
ประชาชนจะไว้ใจได้อย่างไร ท่านลองคิดดูซิว่ากลุ่มญาติพี่น้องของคนที่ถูกฆ่าตัดตอน
2,5000 ศพ เขาจะยอมหรือ กลุ่มญาติ พี่น้องของเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551
จะยอมได้หรือไม่ ในเมื่อเขามีแต่เสียประโยชน์ และเมื่อมีแต่เสียงคัดค้านความปรองดอง
จะเกิดขึ้นได้อย่างไร
ข้อสงสัยประการที่สาม ในเมื่อประเทศกำลังเผชิญปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ
ประเทศกำลังขาดความเชื่อมั่น ทำไมท่านทั้งหลายจึงไม่ร่วมไม้ ร่วมมือ ร่วมใจกัน
แก้ปัญหาให้กับประชาชน แทนที่จะเร่งออกกฎหมายที่เป็นประโยชน์กับประชาชน
กลับมัวแต่เล่นเกมถ่วงเวลา นับองค์ประชุมกันอยู่ตลอดเวลา มันชี้ให้เห็นว่า ถ้า
ประชาชนเดือนร้อนท่านไม่สนใจ แต่ถ้าพวกท่านเดือดร้อน ท่านจะต้องออกกฎหมาย
เพื่อแก้ปัญหาทันที แล้วอย่างนี้ ท่านทำเพื่อชาติหรือทำเพื่อตัวท่านเองกันล่ะ
ข้อสงสัยประการที่สี่ เมื่อท่านทำผิดแล้วบอกว่าไม่ผิด โดยการออกกฎหมาย
ล้างความผิดให้ตนเองได้ เพราะมีพวกมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ บรรดานักโทษที่ติดคุกนับ
แสนคนในขณะนี้ พร้อมทั้งบรรดาญาติ พี่น้อง จะขอออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับ
ตนเองบ้างได้หรือไม่ เพราะเขาก็มีสิทธิอ้างความปรองดองได้มิใช่เหรือ ถ้าบอกว่าเขา
ทำไม่ได้แล้วจะเป็นธรรมกับพวกเขาได้อย่างไร
ข้อสงสัยเหล่านี้ ผมว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน รัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลต้อง
ตั้งหลักให้ดี คิดให้รอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจ เพราะงานนี้คนที่ได้รับประโยชน์ไม่ใช่
ประชาชนส่วนใหญ่อย่างแน่นอน แต่กลับเป็นนักการเมืองที่ทำผิดอย่างเต็ม ๆ งานนี้
ถ้ารัฐบาลตัดสินใจผิดพลาด และหลงเล่นตามเกม ก็เชื่อผมได้เลยว่า ท่านก็จะเป็น
อีกหนึ่งรัฐบาลที่มีอายุสั้นที่สุด
ผมเห็นด้วยกับท่าน ผอ. มากที่สุด ทำไมคนที่ขึ้นไปบริหารประเทศชาติบ้านเมือง ถึงไม่คิดอย่างนี้กันบ้าน มีแต่จ้องที่จะทุจริต โกงกิน แม้กระทั่งหลักฐานผูกมัดความผิดแล้ว แต่ยังมิสามารถลงโทษคนทำความผิดและสร้างความเดือนร้อนให้กลับชาติบ้านเมืองได้เลย แล้วอย่างนี้ประเทศไทยจะพัฒนาไปได้อย่างไรกัน
เมืองไทยเราไม่มีวัฒนธรรม “วิถึแห่งนิติรัฐ” การดำรงอยู่ ของผู้คนจึงเต็มไปด้วย พวกที่ พูดกันถึง “ความรู้สึก” ไม่ตระหนักถึง “เรื่องความรู้” ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่อง “ความถูกต้อง”
สังคมวันนี้ หากพวกตนเพลี้ยงพล้ำ ก็จะ ระงม เซ็งแซ่เรื่องความ”ปรองดอง” มีกระบวนการ สร้าง กระแส “เออออ” “ห่อหมก”
หากแต่วันไหน เรื่องเดียวกัน ถ้าไม่ใช่ “พวก ใช่ พ้อง”
เรื่องนั้นก็ “เงียบหาย”
กี่ปีแล้วที่เราวนเวียนอยู่อย่างนี้ ไม่ไปไหนมาไหน ข่าวเน่าๆ เรื่องเหม็น ๆ เป็นวัฏจักร เหมือนวัวพันหลัก
สังคมไทยเรา หอการค้าไทยเรา ลุกขึ้นมา เปลี่ยนแปลงกันให้ดูเป็นตัวอย่างไหม ?
ไปดูเรื่อง จริยธรรมของหอการค้าไทย ซิ เราทำเป็นร่างไว้ (ดูจากคอลัมน์ข้างๆ )
ถึงวันนี้ เป็นเวลากี่ปีแล้ว ยังเป็นโครงร่างอยู่
ข้อความที่เขียนไว้ หลวมมาก เหมือนไม่ได้ต้องการให้นำไปปฏิบัติ
สังคายนากันหน่อยดีไหม สังคมเปลี่ยนไปมากแล้ว เราจะตามไม่ทันกระแสโลกแล้ว
เห็นด้วยกับ ความเห็น ที่ท่านว่า
” ข้อสงสัยประการที่สอง การออกกฎหมายในลักษณะนี้ ทำไมไม่ให้ผู้เกี่ยวข้อง
หรือผู้มีส่วนได้เสียเข้ามามีส่วนร่วม แต่นี่ผู้เสนอกับผู้ได้รับประโยชน์กลับเป็นคนกลุ่มเดียวกัน”
หอการค้าต่างจังหวัด หลายๆ จังหวัด ล้วนเต็มไปด้วยปัญหาความไม่ชัดเจน หลายๆเรื่อง โดยเฉพาะ
เรื่องจริยธรรมของ “กรรมการหอการค้า” ควรจะวางกรอบเรื่อง “คุณสมบัติ” เรื่อง “การได้มา” เรื่อง “ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ” เรื่อง ” การปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ” “ระเบียบการเงินของกรรมการ” ให้ชัดเจน แก้ไข”เรื่องการขัดกันของผลประโยชน์ทับซ้อน ส่วนตัว ส่วนรวม” “การสร้างผู้นำ” “บ่มเพาะต้นกล้าหน่ออ่อน” “เชิดชูผู้อาวุโส” “ขจัดการครอบงำผูกขาดทางตำแหน่ง”
เรื่องเหล่านี้ ล้วนเป็นระเบิดเวลา บ่อนเซาะ ความแข็งแรงขององค์กรที่เปราะบางอยู่แล้วให้เหลือน้อยเต็มที
หอการค้า ดำรงอยู่ก็ด้วยเป็นที่หวัง เป็นที่พึ่ง ของสังคมว่า องค์กรแห่งนี้ จะ ปลอดจาก ผลประโยชน์ และอวิชชา ไม่ใช่แหล่งฟอกเงิน ฟอกคน บางกลุ่ม บางคน ให้เป็นอภิสิทธิชน ชูคอในสังคม ดำรงตนเหนือผู้อื่น โดยไม่ได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทน ต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ถ่วงดุลอำนาจ ที่ไม่ชอบธรรม สร้างคุณูปการ ให้กับสังคม
มาช่วยกันสร้าง ช่วยกันดูแล เก็บกวาดบ้านเราให้เรียบร้อยก่อนดีไหมท่านผอ. ก่อนที่โครงสร้างอันเทอะทะ แต่อ่อนปวกเปียก จะล้มทับ หญ้าแพรกที่ช้ำยิ่งกว่ารากหญ้าให้จมดินกว่านี้
—————————————-
ถ้าเกิคคนไทยยังคิดที่จะแก่งเเย้งชิงดีกันทั้งชาติคงไม่มีวันเจรินหลอก
ผมไม่แน่ใจว่า จะเสนอความเห็นต่าง ในที่นี่จะเหมาะสมหรือไม่ แต่ผมคิดว่าผู้บริหารระดับสูง ในประเทศไทย มักมีทัศนคติ ที่อยู่ในกรอบของฝรั่ง จนฝังใจว่าเป็นทัศนคติที่เป็นสากล และใช้ได้ทั่วโลก พยายามจะนำมาปรับใช้กับคนไทย และหวังให้คนไทยปรับตัวเข้าหาโดยตลอด
ความเป็นจริงคือ ประชาชนที่มาลงมติรับรัฐธรรมนูญ ทั้ง 2 ครั้ง ส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเนื้อหาภายใน และมองไม่เห็นว่ามันจะส่งผลกระทบอย่างไรในอนาคต เราเชื่อในระบบการร่างรัฐธรรมนูญ จึงไปรับรอง ก็เท่านั้นเอง
อะไรก็ตาม ที่ทำให้บ้านเมืองสงบได้ ควรได้รับการสนับสนุน ผมไม่เห็นว่ามันจะสำคัญตรงไหน ที่เกิดความรู้สึก ไม่ตรงใจบ้าง เพราะเราอาศัยอยู่ในสังคมแบบนี้
ซึ่งมันไม่มีวันเจริญหรอกครับ ถ้าความเจริญของประเทศมันไม่ตอบโจทย์ นิสัยพื้นฐานของคนไทย นิสัยที่แก้ไขไม่ได้โดยวิธีทางกฎหมายหรือการเมือง
โดยส่วนตัวผมประหลาดใจ กับความสามารถในการมองนอกกรอบของ นายกอภิสิทธิ์ มาก
ผมคิดว่า ในหลวงเป็นตัวอย่าง สำคัญในการ ชี้แนะแนวทางให้สังคมไทยมาโดยตลอด แต่ผู้บริหารในภาคส่วนต่างๆก็ยังไม่เข้าใจ กว่าจะเริ่มเข้าใจ ก็ 20 ปีผ่านไป