อีกไม่กี่วันจะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และมีนัยว่าเป็นการเลือกนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐบาลไปด้วย ในระยะโค้งสุดท้ายของการหาเสียง เกมส์จึงเต็มไปด้วยลีลา สีสัน และความดุเดือด
โพลของสำนักต่างๆ นำเสนอต่อสาธารณชนผ่านสื่อต่างๆเกือบทุกวัน ทำให้สถานการณ์การแข่งขันทางการเมืองมีความคึกคัก บางครั้งดูเหมือนกับว่ามีความตึงเครียด การแสดงความคิดเห็นต่างๆ ทั้งบนเวทีปราศรัย หรือ การแถลงข่าวต่างก็ใช้วาทะเด็ด เพื่อดึงดูดคะแนนกันอย่างเต็มที่
พรรคไหนมีนโยบายอะไรที่จะเป็นจุดอ่อน ดี เมื่อเปิดออกมาแล้วดัง ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างคะแนนเสียง แต่เท่าที่ดูแล้วเกือบทุกพรรคก็ยังเน้นประชานิยมกันเป็นส่วนใหญ่ มีลด แลก แจก แถมกันอยู่เป็นจำนวนมาก ผมมีความรู้สึกว่า ในสมัยหน้านี้ ใครจะมาเป็นรัฐบาลก็ตาม จะต้องมีการใช้เงินงบประมาณกันเป็นจำนวนมหาศาล
การใช้เงินงบประมาณจำนวนมาก ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ในเมื่อรัฐบาลเป็นผู้ใช้เงินรายใหญ่ มีหน้าที่ใช้ก็ต้องใช้ เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัว หรือมีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ทุกคนต่างก็โหยหา และตั้งความหวังว่า หลังเลือกตั้งเศรษฐกิจจะดีขึ้น
ประเด็นสำคัญนั้นอยู่ที่ว่า ใช้เงินงบประมาณอย่างไรให้เกิดความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพสูงสุด เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนมากที่สุด และเปิดโอกาสให้ฝ่ายต่างๆสามารถตรวจสอบได้อย่างตรงไปตรงมา หรือเป็นไปตามกฏหมายกำหนดก็พอแล้ว แต่ถ้าหลีกเลี่ยงการตรวจสอบแล้วใช้เล่ห์กลทางกฏหมายโต้กันไปมา หรือเบ้ไปเบ้มา จนกระทั่งเกิดกระแสความไม่พอใจออกมาเดินขบวนต่อต้านกันเต็มบ้านเต็มเมือง กล่าวหาซึ่งกันและกันโดยไม่ยอมลดลาวาศอก หรือ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมแพ้ จนกระทั่งนำไปสู่ความร้าวฉานในสังคมมากขึ้นๆทุกขณะ ถึงขนาดพูดกันออกมาเลยว่า “ถ้าไม่เป็นไปตามที่ตนพูดไว้ แผ่นดินจะลุกเป็นไฟแน่นอน”
พวกเราฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจ และอยากจะตั้งคำถามว่า แค่เพียงความเห็นไม่ตรงกัน ถึงขนาดจะทำให้บ้านเมือง “ลุกเป็นไฟ” เชียวหรือ … เพราะอะไร ? ที่พวกท่านทั้งหลายถกเถียงกัน มีความเห็นที่ไม่ตรงกัน “มิใช่ทำเพื่อบ้านเมืองดอกหรือ” แล้วเมื่อต่างฝ่ายต่างทำเพื่อบ้านเมือง ก็แสดงว่า พวกท่านรักบ้านเมือง รักประเทศชาติ แล้วทำไมจะปล่อยให้บ้านเมืองของเราลุกเป็นไฟเสียล่ะ … ผมไม่เข้าใจ !
การที่บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟได้นั้น มันมีอยู่สองพวกด้วยกัน พวกแรกเป็นพวกที่จุดไฟ พวกที่สองเป็นพวกที่ใส่เชื้อเพลิง เมื่อเรารู้ว่าจะมีคนจุดไฟ เราก็ต้องไม่ให้ใครมาเติมเชื้อเพลิง
ถ้าเราสามารถแยกไฟกับเชื้อเพลิงออกจากันได้ ไฟมันก็ไม่ลุกไม่ลามออกไปจนไม่สามารถจะดับได้ ปัญหานี้มันอยู่ที่ว่า ขณะนี้ใครเป็นไฟ และ ใครเป็นเชื้อเพลิง
เราเป็นคนไทยที่มีความรักชาติ รักแผ่นดิน เราต้องใช้ข้อมูล ความรู้ และสติแยกแยะให้ออก และร่วมใจกันอย่างพร้อมเพรียงออกไปดับไฟเพื่อแก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมือง
พลังเงียบซึ่งเป็นพลังความคิด และเป็นพลังที่มีสติปัญญา ต้องแสดงออกร่วมกัน ตัดสินชะตาชีวิตของพวกเรากันเอง ออกมาร่วมกันรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ พร้อมใจกันลงคะแนนเสียงให้เด็ดขาด เสียสละเวลากันเพียงวันเดียว ผมว่ามาถึงวันนี้แล้วทุกอย่างชัดเจนกันพอสมควรว่า จะเลือกใคร
ผมว่าเราต้องตั้งคำถามกับตัวเราเองก่อนครับว่า
1. ใครมีปัญหามากที่สุด เราคิดว่าเขาจะแก้ปัญหาของชาติก่อน หรือจะเลือกแก้ปัญหาของตัวเองก่อน
2. ผู้ที่มีปัญหา ถ้าต้องสาละวนอยู่กับการแก้ปัญหาของตนเอง ก็จะต้องเผชิญกับกลุ่มต่อต้านอย่างไม่รู้จบสิ้น ประเทศชาติจะเดินไปข้างหน้าได้อย่างไร
3. ใครที่ไม่มีปัญหาค้างคา หรือมีปัญหาน้อยที่สุด กลุ่มนี้แหล่ะครับ ที่ผมและพวกกำลังหมายตา และตั้งใจว่าจะไปเลือกเขาเป็นรัฐบาล ในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 นี้ แน่นอน
เพื่อไม่ให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟไงล่ะครับ
ดิฉันพร้อมแล้วที่จะไปใช้สิทธิ เลือกบุคคลและทีมที่ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ดิฉันรู้สึกแปลกใจจริง ๆ ที่คนไทยไม่สามารถแยกแยะความถูก ผิด ได้ อย่างชัดเจนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไม่ทราบข้อมูลบ้างเลยหรือว่า นักการเมืองบางกลุ่มบางคนมีเล่ห์เหลี่ยมอย่างไร กอบโกยกันอย่างไร เกิดความเสียหายขนาดไหน นี่แหละค่ะที่ฝรั่งเขาว่า ประชาชนเป็นแบบไหน ก็จะได้นักการเมืองเป็นแบบนั้น ดิฉันเชื่อว่าเป็นความจริง และพิสูจนได้ ก็คือ นักการเมืองที่เห็นแก่ได้ก็มักจะมาจากประชาชนที่เห็นแก่ได้ พวกเราต้องเอาชนะให้ได้นะคะ
ผมมีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าเลยครับ ว่าบ้านเมืองเป็นของศักสิทธิ์ ไม่มีใครมาทำร้ายได้ บาปกรรมมีจริงใครทำอะไรกับบ้านเมืองไว้มันจะต้องได้รับกรรมอย่างแน่นอน ที่ผ่านมาผมว่ารัฐบาลไม่ได้ทำอะไรอย่างจริงจังไม่ใช้ขอ้มูลให้เป็นประโยชน์ ความจริงไม่ได้รับความเปิดเผย ไม่ทำความเข้าใจกับมวลชน และไม่เข้าถึงมวลชนซึ่งในท้ายที่สุดไม่สามารถแก้ปัญหาของประเทศได้ หรือไม่ประสบความสำเร็จในการนำพาประเทศไปสู่ความสำเร็จได้ การเลือกตั้งครั้งนี้จะเห็นได้ชัดว่าชนชั้นปัญญาชนถึงแม้ว่าจะรู้อะไรดีแต่ก็ไม่สามารถเอาชนะได้ เพราะฐานมวลชนน้อยกว่า แต่เมื่อเขาชนะไปแล้ว ก็ไม่มีเสถียรภาพเพราะขาดการสนับสนุนจากชนชั้นกลางและการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ จะทำให้พวกขี้โกงทั้งหลายต้องมีอันพ่ายแพ้ไปในที่สุด แต่ความเสียหายมันจะเกิดขึ้นอย่างมากมายมหาศาลเนื่องจากประเทศชาติจะตกอยู่ในวัฏจักรแห่งความเลวร้าย คือไม่สามารถเดินหน้าไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้ ความขัดแย้งจะมีอยู่ตลอดเวลา พวกนักเลือกตั้งจะอ้างประชาชนฟอกความเลวของตนเองไปเรื่อย ๆ เราต้องช่วยกันนะครับ อย่าทิ้งประเทศไทย ต้องมีสักวันที่เราจะชนะ