Feeds:
เรื่อง
ความเห็น

Archive for the ‘มองโลก’ Category


66891
              เมื่อ 2 วันก่อน ผมได้ฟังการแถลงข่าวของท่าน ดร.อำพน กิตติอำพน เลขาธิการคนเก่งแห่งสภาพัฒน์ (สศช.)  ดูท่าทางแข็งขัน จริงจัง เสียงดังฟังชัดว่าเศรษฐกิจไทย ในปีนี้จะติดลบ 1 ถึง 0%  และเป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ  10 ปี   นับจากปี  2541 เป็นต้นมา

             ครับ ยังไงก็ต้องเชื่อท่าน  เพราะดูแนวโน้มจากภาคการค้าและภาคเศรษฐกิจ โดยทั่วไปของภาคเอกชน ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น   เพราะภาคการส่งออกของเราส่งออกได้น้อยลง การลงทุนขยายตัวน้อย ก็เนื่องจากการบริโภคมีดัชนีที่ปรับตัวลดลง ก็แล้วมันมีสาเหตุมาจากอะไรหรือครับ คำตอบก็คือ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกมันหดตัวลง  โดยอยู่ระหว่าง –0.5 ถึง  0.5%  โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่เป็นหัวขบวนทางเศรษฐกิจ อย่างเช่น อเมริกา-1.6%  ถึง 2.3% สหภาพยุโรป –ถึง –2.5% อังกฤษ –2.8  ถึง-3.2% ญี่ปุ่น –2.6 ถึง-3%  สิงคโปร์ –3.8% ฮ่องกง -3.8% ไต้หวัน –3%  เกาหลีใต้ –3.5%

               การผลิตสินค้าในไทย พึ่งพาตลาดต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ บริโภคกันเองในประเทศไม่สูงมากนัก  เมื่อต้องขายให้กับต่างประเทศมากก็มีปัญหาเพราะต่างประเทศที่เคยซื้อสินค้าไทยต้องกลับมาจนกันหมด  เขาจะต้องซื้อสินค้าเราน้อยลง หรือยกเลิกการซื้อสินค้าบางประเภทที่ไม่มีความจำเป็น นี่แหละครับ! คือ ความลำบากของนักธุรกิจไทย สินค้าใดที่พอขายได้ก็ยังพอประทังไปได้บ้าง สินค้าชนิดใดที่เขาเลิกซื้อ  ก็ต้องปิดโรงงานกันไป พนักงานลูกจ้างก็ต้องตกงาน รัฐบาลก็ต้องเดือดร้อนไปตามระเบียบ

                ใครมาเป็นรัฐบาลในช่วงนี้ ก็ต้องตกอยู่ในฐานะที่ลำบากด้วยกันทั้งสิ้น แต่ผมมั่นใจอยู่ประการหนึ่งคือ ประเทศไทยทั้งภาคเอกชนและรัฐบาลเรามีประสบการณ์กันมาแล้วในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ประสบการณ์ที่ผ่านมาจะทำให้เราตั้งรับได้ดีกว่าประเทศอื่น  จะเห็นได้ว่าภาคเอกชนเราทราบล่วงหน้ามาแล้วว่า สถานการณ์จะเป็นเช่นนี้ หลายบริษัทเตรียมตัว ปรับตัวมาตั้งแต่  เดือนที่แล้ว โดยการลดต้นทุน ลดสต๊อก ลดการนำเข้าวัตถุดิบลดปริมาณการผลิต และเตรียมความพร้อมด้านสภาพคล่องของเงิน คือ พูดง่ายๆ ทำให้ตัวเบาลงจะได้อยู่รอดในช่วงวิกฤตนี้ไปก่อน

                 อย่างไรก็ตาม วิกฤตครั้งนี้เป็นวิกฤตของโลก   ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยประเทศเดียว การแก้ไขจึงไม่ง่าย จะต้องอาศัยรัฐบาลทุกรัฐบาล     ทั่วโลก  พร้อมใจกันแก้ปัญหาจึงจะทุเลาลงได้ ลำพังรัฐบาลไทยเพียงรัฐบาลเดียว  ผมยืนยันได้เลยว่าไม่มีทางสำเร็จ  ดังนั้น ประเทศต่างๆ จึงได้เตรียมหารือร่วมกัน และมีมาตรการร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหา เช่น ประเทศในกลุ่มอาเซียนของเรา ก็กำลังจะมีประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนเร็วๆ
 นี้ที่หัวหินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์  ผมเชื่อว่าจะมีมาตรการอะไรดี    ออกมาให้พวกเราได้เห็นกัน ขอให้คอยฟังข่าวดีนะครับ

               ภาคเอกชนคาดการณ์กันว่าวิกฤตคราวนี้กว่าจะฟื้นตัวได้ใช้เวลาไม่น้อยกว่า  1 ปี และจะให้กลับมามีสภาพเดิมจะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า  5 ปี อันนี้ไม่ได้มาเล่าให้เกิดความกลัวหรือวิตกกังวลนะครับ ถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริง พวกเราก็ต้องจะระมัดระวังมากขึ้น รอบคอบมากขึ้น และไม่ตกอยู่ในความประมาท ก็จะทำให้พวกเราอยู่รอดได้ ขอให้ทุกท่านมีกำลังใจและเข้มแข็งไว้นะครับ เราต้องเชื่อมั่นในประเทศไทยของเราว่าอยู่รอดได้แน่นอนครับผมว่าวิกฤตครั้งนี้ไม่ได้สร้างความเลวร้าย และความเจ็บปวดให้เราอย่างเดียว แต่ยังสร้างบทเรียนและประสบการณ์ที่มีคุณค่าให้เรา น่าจะทำให้เราเข้มแข็งมากขึ้น

 

โดย
ประพัทธ์โชต  ธนวรศาสตร์

Read Full Post »

child.jpg

สังคมนี้ มีส่วน ที่ยวนยั่ว

ให้เด็กชั่ว  ก่อกรรม  กระทำเข็ญ

พอสังคม  โทรมทรุด  สุดลำเค็ญ

เด็กจึงเป็น  ปัญหา  น่าหนักใจ

หนังเข่นฆ่า  อาฆาต ฉายดาษดื่น

เด็กชมชื่น  จำติด  เป็นนิสสัย

พวกของเล่น  เกณฑ์พนัน  ล้วนจัญไร

เด็กจำไป  เล่นเพลิน  ผลาญเงินตรา

เรื่องลามก  รกเมือง  เฟื่องภาพโป๊

แฟชั่นโชว์  โค้งเว้า  เร้าตัณหา

โรงเรียนติด  ชิดกับ  ไนท์คลับบาร์

เด็กไม่บ้า  ตามผู้ใหญ่  ก็ใจเย็น


ทำอะไรก็ให้นึกถึงเด็กนะครับ … เพราะลูกหลานเราทั้งนั้น

Read Full Post »

closed.jpg

เมื่อครั้งที่ Supprime ทำเอาธุรกิจการเงินในอเมริกาเกิดวิกฤติไปเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา ทั่วโลกก็คิดว่า อเมริกาจะสามารถแก้ปัญหาวิกฤติในครั้งนี้ได้ …

แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น ดูเหมือนว่าบรรดาวาณิชธนกิจในอเมริกาทั้งหลายต่างก็อยู่ในอาการฝันร้ายเรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้

ครั้งหลังสุด ธนาคารแห่งอเมริกา ซึ่งเป็นสถาบันการเงินขนาดใหญ่อันดับ 2 ของอเมริกา ได้ประกาศเลิกจ้างคนงานอีก 3,000 ราย เนื่องจากธุรกิจการเงินส่วนใหญ่ในขณะนี้กำไรหดลงไปอย่างน่าใจหาย โดยไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ลดลงไปถึง 93%

ตั้งแต่เกิดวิกฤติการณ์ดังกล่าวจนถึงปัจจุบัน บริษัทการเงินต่างๆปลดคนงานไปแล้ว 13,000 ตำแหน่ง ซึ่งมากกว่าการปลดพนักงาน 50,000 คน เมื่อปีที่แล้วถึง 2 เท่า และมากกว่าสถิติสูงสุดของปี 2544 ที่มีการปลดคนงานจำนวน 116,000 คน

ขณะนี้บริษัทการเงินในอเมริกาต่างก็ประสบกับปัญหาขาดทุนอย่างหนักจากการจำนองซับไพรม์และเงินกู้ และพันธบัตรองค์กรที่มีความเสี่ยงสูงมาก ก่อให้เกิดผลกระทบในด้านการจ้างงานที่รุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา มีการปลดคนงานออกไป 80 % ของคนงานที่ถูกปลดไปแล้ว

สาเหตุหลักๆของการปลดคนงาน ก็เนื่องมาจากความตกต่ำของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อย่างเช่นบริษัทคันทรี่ไวด์ ไฟแนนเชียน ซึ่งเป็นผู้รับจำนองอันดับ 1 ของอเมริกา ก็ปลดคนงานออกไปถึง 12,000 คน เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้เอง ในขณะเดียวกัน บริษัท อินดี้แมค แมนคอร์ป ก็เลิกจ้างพนักงานไปอีก 1,000 ตำแหน่งในเดือนเดียวกัน และบริษัทแอ็คเครดิตเทคโฮม เลนเดอร์ส ก็ได้ปลดพนักงาน 16,000 ตำแหน่ง และบริษัทแคปิตอลวัน วางแผนปิดแผนกจำนองกรีนพอยน์ลง ทำให้ต้องปลดคนงานออกไปอีก 1,900คน

ท่านทั้งหลายครับ การปลดคนงาน ยังไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้ ยังขยายไปทั่ว ลุกลามไปถึงบรรดานายแบงค์ กิจการเทรดเดอร์ และนักการเงินทั้งหลายอย่างไม่มีใครคาดคิดมาก่อน และผลกระทบได้คืบคลานเข้าไปสู่ยุโรปบางส่วนแถมยังมีแถบเอเซียอีกเล็กน้อย

ขณะนี้เวลาของปี 2550 ยังเหลืออยู่อีกเพียง 2 เดือนเท่านั้น อเมริกาจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้ยุติลงได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก เพราะคนจะต้องตกงานเพิ่มขึ้น และที่น่าวิตกไปกว่านั้นก็คือ ประเทศอเมริกาเป็นประเทศใหญ่ ธุรกิจการเงินเคยอู้ฟู่มั่งคั่ง การเงินภายในประเทศหมุนเวียนดีมีอำนาจการซื้อสูง ประเทศไทยก็สามารถส่งสินค้าไปขายยังสหรัฐอเมริกาเป็นจำนวนมาก จนเรียกได้ว่าเป็นตลาดหลักของประเทศไทย

แต่อนิจจา … เศรษฐีอย่างอเมริกากลับต้องมาจนลงชั่วขณะ ก็อาจจะมีผลกระทบต่อสินค้าส่งออกของไทยบ้าง ผมว่าบรรดาผู้ส่งออกทั้งหลายเตรียมตัวเตรียมความพร้อมไว้บ้างก็ดีเหมือนกันนะครับ เราต้องห่วงตัวเราเองก่อนครับ เพราะขณะนี้รัฐบาลท่านกำลังเป็นห่วงการเลือกตั้ง อาจจะไม่มีเวลาว่างพอ หรืออาจจะมองว่า เป็นหน้าที่ของรัฐบาลชุดใหม่หลังการเลือกตั้งไปเลยก็ได้ …

Read Full Post »

show.jpg

ธุรกิจหลักของสังคมไทยจากอดีตถึงปัจจุบัน เป็นธุรกิจซื้อมา-ขายไป ซึ่งจัดตั้งเป็นร้านค้าขนาดเล็กกระจายอยู่ทั่วประเทศไทย ตั้งแต่ระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล ไปจนกระทั่งถึงระดับหมู่บ้าน

ร้านค้าเหล่านี้จะมีทั้งประเภทขายรวม คือ ของกินของใช้และของชำ และมีทั้งประเภทขายเดี่ยว คือ ประเภทเครื่องมือ เครื่องใช้ เคมีภัณฑ์ การเกษตร ยา และวัสดุก่อสร้าง
ธุรกิจเหล่านี้ เป็นแกนหลักในการกระจายสินค้าจากผู้ผลิตไปถึงมือผู้บริโภคทุกหัวระแหงของประเทศ หล่อเลี้ยงอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศให้เจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง สร้างรายได้ทั่วประเทศคิดเป็น GDP ไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร

นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดการสร้างงาน ทำให้คนมีงานทำทั่วประเทศมากมายมหาศาล และที่สำคัญ ” ธุรกิจโชวห่วย … เป็นธุรกิจครอบครัว “ เลี้ยงครอบครัวทั่วประเทศให้มีอยู่มีกิน มีฐานะส่งลูกหลานเรียนจนได้ดิบได้ดี เป็นใหญ่เป็นโต มีฐานะมั่นคงเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด นักธุรกิจระดับใหญ่ของประเทศหลายคนก็มาจากครอบครัวธุรกิจ ” โชวห่วย ”

จนมาถึงวันนี้ ธุรกิจโชว์ห่วย อันถือเป็นแกนหลักทางเศรษฐกิจของประเทศ ของสังคมและของครอบครัว กำลังเกิดปัญหา ถูกรุกรานจากต่างชาติ จนเกือบจะหาที่ยืนไม่ได้ ไม่ต่างอะไรกับค่ายบางระจันที่รอวันแตกพ่าย โดยที่ภาครัฐยื่นมือเข้าไปช่วยช้ามาก เรียกว่า กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้แล้ว ไม่ทันการณ์ เอาแต่เรียกร้องให้ภาคเอกชนปรับตัว
ผมก็ไม่ทราบว่าภาครัฐกับภาคเอกชน ใครควรปรับตัวก่อนใคร แต่ในความรู้สึกของผม ผมรู้แต่ว่า ภาครัฐต้องเป็นผู้นำ ส่วนท่านจะนำอย่างไรนั้น ท่านต้องมีวิธีการของท่านแต่ที่ผ่านมา ผมยืนยันได้เลยว่า … ท่านยังไม่ได้นำครับ

ความจริงแล้ว ในเรื่งผลกระทบจากห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ของต่างชาติ หรือที่เราเรียกกันว่า ” ธุรกิจข้ามชาติ “ นั้น เราเรียกร้องกันมาเกือบ 7 ปีแล้ว แต่ไม่มีอะไรคืบหน้า รัฐอ้างว่าเราไม่มีกฏหมายโดยตรง แล้วก็หาทางออกโดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปช่วยกันหาทางแก้ด้วยการใช้กฏหมายผังเมืองบ้าง กฏหมายควบคุมอาคารบ้าง  ใช้เทศบัญญัติที่เป็นกฏหมายปกครองท้องถิ่นบ้าง
แต่กฏหมายตรงๆที่เกี่ยวข้องกับค้าปลีกไม่มี บรรดาผู้ค้าปลีกทั้งหลายก็เรียกร้องว่า

” เมื่อไม่มีแล้ว ทำไมไม่รีบทำ? “


ก็ได้รับคำตอบว่า ” … ขั้นตอนมันเยอะ ”

นี่แหล่ะครับ มันเป็นเรื่องที่เราไม่ใส่ใจตั้งแต่ 7 ปีที่แล้ว จนกระทั่งมาวันนี้ คณะรัฐมนตรีขิงแก่เพิ่งผ่านความเห็นชอบ พ.ร.บ. ค้าปลีกออกมา ซึ่งใช้เวลาทำเรื่องนี้อยู่เกือบ 1 ปีเต็ม แต่ก็ยังถือว่า อยู่ในห้วงเวลาที่พอจะช่วยได้ แต่ก็ทำแบบไฟลนก้นไปหน่อย

ความจริง ผมไม่ได้รังเกียจธุรกิจข้ามชาติหรือต่างชาติหรอกนะครับ แต่ว่าเมื่อเข้ามาทำมาหากินในบ้านเรา ก็ควรจะต้องมีระบบที่ทำให้เรากับเขาอยู่ร่วมกันได้ ไม่ใช่ “เขามา – เราตาย ” หรือให้ “เขาไป – เราอยู่ ” อย่างนี้มันก็จะมีแต่ความขัดแย้ง สังคมไม่สงบสุขผมยังยืนยันว่า เรื่องนี้ต้องเป็นหน้าที่ของรัฐอย่างแน่นอนครับ ที่จะต้องเข้ามาบริหารจัดการเรื่องนี้ให้เรีบยร้อย และทำให้ธุรกิจโชว์ห่วยของเรา พัฒนาเติบโตและเป็นแกนหลักสำคัญทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศชาติต่อไป

Read Full Post »

หลังจากที่คุยกันในเรื่องหนักๆมาหลายเรื่อง สัปดาห์นี้ผมขอคุยเรื่องเบาๆบ้าง (ไม่ใช่เรื่องนุ่นนะครับ)

เมื่อ 2-3 วันก่อน ผมได้มีโอกาสเข้าไปในศูนย์หนังสือแห่งหนึ่งแถวสยามแสควร์ เหลือบไปเห็นนิตยสาร
Conde’ Nast Traveller  ฉบับประจำเดือนตุลาคม 2007  ซึ่งเป็นฉบับพิเศษครับ …

conde2.jpg 
เขาจัดอันดับด้านการท่องเที่ยวเอาไว้ทั่วโลกเลยครับ ทำให้ผมอยากรู้ว่า เมืองไทยเราติดอันดับอะไรกับเขาบ้าง ก็เลยหยิบติดมือมา 1 เล่ม

พอมาถึงบ้านก็เปิดดูทั้งหมดเลย ผมดีใจมากครับ เนื่องจากประเทศไทยติดอันดับโลกหลายอย่างเหมือนกัน เขาเรียงลำดับไว้อย่างนี้นะครับ
conde3.jpg
ในด้าน “โรงแรม” ที่บริการดี สถานที่พักดี สภาพแวดล้อมดี บรรยากาศดี

อันดับหนึ่งได้แก่  One & Only Maldives Atreethi Rah

ถัดไปก็คือ The Chedi Muscat ประเทศโอมานครับ

รองลงไปก็เป็น Singita Private Reserve แห่งแอฟริกาใต้

ตามมาด้วย Hotel Cipriani ของเวนิซ

แล้วก็มาถึงประเทศไทยของเราครับ นั่นคือ … Four Seasons Resort … เชียงใหม่เจ๊า

four.jpg

ต่อด้วย North Island , Seychelles และพ่วงด้วย The Chedi แห่งภูเก็ต

คราวนี้มาดู สุดยอดของ “เกาะ” บ้าง

conde1.jpg

ปรากฏว่า ของไทยไม่ติดอันดับเลยครับ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ เกาะภูเก็ตของเราก็ขึ้นชื่อลือชา เป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติมิใช่น้อย  เกาะที่ติดอันดับหนึ่ง ยังคงเป็นเกาะมัลดีฟส์ครับ เห็นไหมครับว่าเขาติดอันดับทั้งเกาะทั้งโรงแรมเลยครับ เพราะมันเอื้อกันมาก หรืออยู่ในกรอบเดียวกันนั่นเอง ส่วนรองลงมาก็ได้แก่ Greek Island , Balearic Island , Mauritius , Barbados , Seychelles และ บาหลี และเมื่อถามว่า ประเทศใดที่เขาจัดให้เป็นประเทศที่ดีที่สุด ผมเพ่งอยู่นานด้วยความไม่แน่ใจ ปรากฏเขาเขียนว่า India ครับ

ผมเลยต้องถามแขกให้แน่ใจอีกครั้ง  แขกส่ายหน้าใหญ่เลยครับ … แปลว่าใช่แน่นอน

ประเทศอินเดียเป็นประเทศที่ดีที่สุด  ตามมาด้วย Italy , Thailand ,Australia ,Newzealand ,South Africa , Spain และ France

แล้วเมืองที่ดีที่สุดล่ะครับ มีเมืองไหนกันบ้าง …

ปรากฏว่า กรุงเทพมหานครไม่ติดอันดับเลย ในนี้เขาบอกว่า Sydney  เป็นเมืองที่ดีที่สุดในโลก รองลงมาตามลำกับคือ Newyork , Paris , Roam , Barcelona , Venice และ Sanfrancisco

สำหรับในด้านธุรกิจสปา  (Spa) ที่ดีทีสุดในโลก เขาจัดให้เป็นของ อินเดียอีกแล้วครับทั่น คือ Ananda Spa , Ananda In Himalayas และของประเศไทยก็ตามมาติดๆ นั่นคือ ชีวาศรม อยู่ที่หัวหินโน่นแน่ะ
แสดงว่าคุณภาพสปาของเราก็ไม่เบาเหมือนกันนะครับ …

การจัดอันดับสุดท้าย เรามาดูกันที่สายการบินกันบ้างว่า มีสายการบินไหนติดอันดับ Top สุดผมดูแล้วยืนยันว่าไม่มี ” One Two Go” แน่นอนเลยครับ เพราะไม่ใช่ Inter แต่ที่ติดอันดับที่ดีที่สุดนั้นเป็นของ Singapore Airline ครับ ตามด้วย British Airway , Virgin Atlantic Armirates และ Air newzealand ครับ ครั้งนี้ไม่มีการบินไทยเลยนะครับ ซึ่งครั้งหนึ่งเราเคยติดอันดับในด้านการบริการอยู่เหมือนกัน ระยะหลังแผ่วไปเป็นเพราะอะไรก็ไม่ทราบเหมือนกัน

ผมไม่ทราบหรอกนะครับว่าเขาไปสำรวจกับใคร ที่ไหนบ้าง เห็นบอกว่า สอบถามเอาจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก แต่ก็ไม่ได้บอกนะครับว่าชาติไหนบ้าง และจำนวนเท่าไหร่ ท่านผู้อ่านก็วินิจฉัยกันดูก็แล้วกันนะครับว่าถ้าเทียบกับประสบการณ์ที่เราเคยสัมผัสมาแล้ว มันพอจะเชื่อได้ไหม แต่ถ้ามันใกล้เคียงก็โอเคนะครับ …

Read Full Post »

ปัจจุบันทั่วโลกเราใช้น้ำมันอันเป็นพลังงานหลักมากขึ้นทุกปี ถ้าปีไหนเศรษฐกิจขยายตัวมาก การใช้พลังงานน้ำมันก็มีมากขึ้นตามไปด้วย จะเห็นได้ชัดไม่ว่าจะเป็นอเมริกา ยุโรป จีน หรือญี่ปุ่น ถ้าปีไหนเศรษฐกิจโตมาก ก็หมายความว่าต้องมีการผลิดสินค้าเพิ่มขึ้น รถยนต์ก็ผลิตมากขึ้น อุตสาหกรรมทุกประเภทก็ใช้น้ำมันมากขึ้นตามไปด้วย

เมื่อผลิตสินค้ามาก ก็ต้องมีการขนส่งมากขึ้น นักธุรกิจ นักการตลาด นักเจรจาทั้งหลาย รวมทั้งนักท่องเที่ยวก็ต้องเดินทางไปมาหาสู่กันมากขึ้น ล้วนแล้วแต่ต้องใช้พลังงานน้ำมันด้วยกันทั้งสิ้น

จากการประเมินของนักธรณีวิทยาที่มีความรู้เกี่ยวกับน้ำมันดิบใต้ดินว่า น้ำมันดิบที่มีอยู่ในเวลานี้ จะใช้ได้อีกประมาณ 30 ปี เผลอๆ 20 ปีก็หมดแล้วครับ คือ ถ้าการใช้ยังขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็หมายถึงว่า จะหมดเร็วแน่นอน นี่ขนาดทั่วโลกรณรงค์ให้ลดการใช้น้ำมันลงเพราะปัญหาโลกร้อน รวมทั้งแสวงหาพลังงานทดแทนแล้ว ก็ยังไม่ทันกับความต้องการของมนุษย์อยู่นั่นเอง …

ขณะนี้หลายประเทศ กำลังเล็งไปที่ “พลังานนิวเคลียร์” เพราะเห็นว่าประเทศที่เจริญแล้ว นำมาใช้แล้วประสบความสำเร็จ มีต้นทุนต่ำ แถมยังทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้นด้วย เพราะเป็นพลังงานที่สะอาด


ประเทศในยุโรปที่ใช้พลังงานนิวเคลียร์มากที่สุด คือ ประเทศฝรั่งเศส
ครับ เขามีเทคโนโลยีในเรื่องนี้ที่ยอดเยี่ยมมาก มีมาตราการในการรักษาความปลอดภัยอย่างดีเลิศ จนเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่า ฝรั่งเศสมีส่วนทำให้สภาพแวดล้อมของอากาศทั่วโลกดีขึ้น

จากประบการณ์ที่ยาวนานของฝรั่งเศสนี้เอง เป็นบทพิสูจน์ให้โลกเห็นว่า พลังงานนิวเคลียร์ไม่ใช่สิ่งอันตราย ถ้าได้ดูแลเป็นอย่างดีและมีมาตรฐานสูง ส่งผลให้ประเทศในกลุ่มประเทศอาเซียนเพื่อบ้านของเราหลายประเทศ กำลังให้ความสนใจทำโรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขึ้น มีทั้ง อินโดนีเซีย เวีดนาม พม่า และล่าสุดก็คือ กัมพูชาครับ

ประเทศเหล่านี้ไม่เพียงแต่ให้ความสนใจธรรมดา ยังมีการเตรียมแผนงาน เตรียมงบประมาณ และเดินทางไปดูงาน ศึกษาเทคโนโลยีกับฝรั่งเศสอย่างจริงๆจังๆเลยนะครับ

ส่วนประเทศไทยของเรา กระทรวงพลังงานก็ไม่น้อยหน้าประเทศอื่นเหมือนกันนะครับ โดยได้จัดเตรียมแผนงาน และจะเริ่มฝึกเจ้าหน้าที่ที่จะรับผิดชอบในโรงงานพลังงานไฟฟ้านิวเคลียร์ในช่วงระยะเวลา 7 ปีต่อจากนี้ไป และตั้งเป้าหมายไว้ว่า ในประมาณปี 2021 หรือ พ.ศ.2564 ประเทศไทยจะเริ่มใช้พลังงานนิวเคลียร์ได้แล้ว เพราะตอนนั้น ความต้องการพลังงานไฟฟ้าในประเทศจะสูงมากขึ้นกว่าปัจจุบันถึง 5,000 ล้านกิโลวัตต์ทีเดียว

ถ้าไม่รีบดำเนินการมีหวังไฟดับกันทั้งประเทศ เศรษฐกิจและการลงทุนในด้านต่างๆจะเป็นปัญหาวิกฤติอย่างหนัก เนื่องจากไฟฟ้าเป็นพลังงานปัจจัยพื้นฐาน(Infra-Structure) ที่สำคัญยิ่งของระบบเศรษฐกิจเลยนะครับ

เมื่อพูดถึงโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ทีไร ผมก็รู้สึกหนักอกขึ้นมาทุกที ไม่ใช่เพราะอกของผมมันใหญ่นะครับ แต่เป็นเพราะปัญหาที่เกี่ยวข้องกับประชาชนที่เขาอาศัยอยู่ในบริเวณที่ตั้งโรงงานไฟฟ้านั่นแหล่ะ เขาไม่ไว้ใจ เขาไม่รู้มาตราการรักษาความปลอดภัยจะทำได้ดีเยี่ยมขนาดไหน

ใครๆก็กลัวตายครับ เขารู้แต่ว่ามันมีอันตรายร้ายแรง แต่ไม่รู้ว่ามันมีคุณปะโยชน์และมีวิธีป้องกันอย่างไรให้ปลอดภัยและชาวบ้านไว้วางใจ

ผมคิดว่า เรื่องนี้กระทรวงพลังงานต้องเริ่มชิงลงมือให้การศึกษากับประชาชนนะครับ ผมขอย้ำและเน้นคำว่า “ให้การศึกษา” ไม่ใช่ประชาสัมพันธ์อย่างเดียวนะครับ เพราะคำว่า “ให้การศึกษา” มันลึกซึ้งและเข้าถึงมากกว่าการประชาสัมพันธ์อย่างเทียบกันไม่ได้เลยเชียวละ

เราต้องทำให้คนของเรารู้จริง รู้เท่าทัน รู้เหมือนกัน และต้องรู้ทันกันหมด อย่าปล่อยให้พวกที่รู้ข้างๆคูๆ เอาไปปลุกระดมจนพินาศย่อยยับเหมือนเหตุการณ์ที่ภูเก็ต ทั้งๆที่มันเป็นคนละเรื่อง …

กว่าภาครัฐจะเข้าไปทำความเข้าใจทุกอย่างก็สายไปแล้ว และกว่าจะเดินหน้าต่อไปได้ก็ต้องรอให้รุ่นลูกรุ่นหลานมันมีความรู้ ความเข้าใจ ให้การยอมรับ ถึงเวลานั้น บ้านอื่นเมืองอื่น เขาคงเดินไปไกล จนมองไม่เห็นก้นแล้วล่ะครับ

อย่างไรก็ตามอย่างที่ผมกล่าวมาตั้งแต่แรกว่า หลายประเศในกลุ่มอาเซียนให้ความสนใจ แต่กลุ่มประเทศอาเซียนก็ยังไม่เคยหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาหารือกันเป็นเรื่องเป็นราวเลยนะครับ ทั้งๆที่อาเซียนมีข้อตกลงในเรื่องพลังงานอยู่แล้ว แต่ไม่เกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์

เพราะฉะนั้นในการประชุมสุดยอดผู้นำ เดือนพฤจิกายน ศกนี้ ที่ประเทศสิงคโปร์ บรรดาท่านผู้นำอาเซียนทั้งหลายทั้งหลาย น่าจะได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาคุยกันและตั้งคณะทำงานหรือคณะกรรมาธิการ หรือคณะอะไรก็สุดแต่จะเรียกเถอะครับ

ให้เขาทำหน้าที่ศึกษาแนวทางกำหนดข้อตกลงร่วมกันให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งทางด้านเทคโนโลยีและการป้องกัน อย่าปล่อยให้ต่างคนต่างทำและมีหลายมาตรฐานเลยครับ เพราะเรามีบ้านใกล้ชิดติดกัน เวลามีอะไรตูมตามขึ้นมา มันจะอยู่ร่วมกันไม่ได้

ขอให้ช่วยกัน “หนักอก” หน่อยเถอะครับ

Read Full Post »

    sub.jpg

    เมื่อ 2-3 วันก่อน มีคนโทรศัพท์มาหาผมหลายคน หลังจากที่ผมเขียนเรื่องโลกร้อนไปแล้ว บอกว่าอยากรู้เรื่อง Sub-Prime บ้าง ว่า มันมีความเป็นมาอย่างไร ทำไมไทยและทั่วโลกจะต้องวิตกกังวลกับมันด้วย ทั้งๆที่ตั้งแต่เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

    ผมเองก็รู้บ้างนิดหน่อย เลยไปศึกษาเพิ่มเติมจากหนังสือบ้าง จากผู้รู้บ้าง เขาบอกว่า “Sub-Prime” หรือ “ซับไพรม์” มีต้นตอมาจาก Sub-Prime Mortgage ในประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ สินเชื่อที่ปล่อยกู้ให้กับลูกหนี้ที่มีเครดิตทางการเงินต่ำกว่ามาตรฐาน หรือที่แปลตรงตัวว่า คุณภาพรองลงมา เขาใช้อสังหาริมทรัพย์ไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันครับ

    บรรดาลูกหนี้ทั้งหลายที่อยู่ในกลุ่ม Sub-Prime นี้ สถาบันการเงินทั่วไปเขาไม่ปล่อยกู้เงินให้ จึงได้มีการตั้งบริษัทอิสระขึ้นมาปล่อยกู้แทน โดยเงินที่บริษัทเหล่านั้นนำมาปล่อยกู้ เขาก็ใช้วิธีออกตราสารหนี้ แล้วใช้อสังหาริมทรัพย์ของลูกหนี้นั่นแหล่ะค้ำประกันตราสารหนี้อีกที ถ้าหากว่าลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้เมื่อไหร่ บริษัทเหล่านั้นก็จะขายอสังหาริมทรัพย์ของลูกหนี้เพื่อนำเงินไปจ่ายคืนให้คนที่ซื้อตราสารหนี้ ดูแล้วก็เหมือนกับธนาคารที่ยึดทรัพย์ไปขายทอดตลาดแล้วเอาเงินไปจ่ายคืนให้กับผู้ฝากเงินครับ

    แล้วทำไมปัญหาถึงได้เกิดขึ้น?  เพราะอะไรหรือครับ

    ก็เพราะว่าเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้วนี่เอง มีลูกหนี้ Sub-Prime เกิดขึ้นมากมาย เนื่องจากราคาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วก็มีการขายตราสารหนี้ออกไปทั่วโลก พอมาถึงช่วงนี้ เศรษฐกิจอเมริกาเริ่มมีปัญหา ลูกหนี้กลุ่ม Sub-Prime ก็เริ่มไม่จ่ายหนี้ มิหนำซ้ำ ราคาอสังหาริมทรัพย์ก็ตกลงอย่างรวดเร็ว บริษัทที่ปล่อยเงินกู้ก็เลยซวย 2 ต่อเลยครับ ต่อแรกคือถูฏเบี้ยวหนี้ ต่อสองคือ อสังหาฯราคาตก เลยทำให้เงินไม่พอจ่ายคืนให้กับผู้ซื้อตราสารหนี้

    คราวนี้แหล่ะครับ บรรดาผู้ที่ซื้อตราสารหนี้ทั้งหลาย ก็เริ่มขาดทุนกันวินาศสันตะโรจากตราสารหนี้ที่ถือไว้ ก็ได้แก่พวกลงทุนเฮดจ์ฟันด์ทั้งหลาย แม้แต่กองทุน ” คาลิเบอร์โกลบอล อินเวสเมนต์ ” ของอังกฤษ ยังถึงขนาดต้องปิดตัวลง หรือกองทุนยักษ์ใหญ่อย่าง “แบร์สเติร์น “ ก็ยังต้องอัดฉีดเงินช่วยเฮดจ์ฟันด์ของตัวเองถึง 1.6 พันล้านดอลล่าร์ หรือประมาณ 5.2 หมื่นล้านบาท และที่ฝรั่งเศส ” บีเอ็นพี พาริบาส์ “ ก็ประกาศปิด 3 กองทุนชั่วคราว

    แบบนี้เค้าเรียกว่า อเมริกาพาซวย

    พอจะทราบกันแล้วใช่ไหมครับ ว่าทำไมทั่วโลกจะต้องไปวิตกกังวลกับมันด้วย ก็เพราะว่า ผลของมันทำให้หุ้นทั่วโลกตกระเนระนาด เมืองไทยก็พลอยโดนกับเขาไปด้วย ทั้งๆที่บ้านเราก็ไม่ได้มีใครไปถือตราสารหนี้ที่ว่านี้เลย แต่มันเป็นผลกระทบเพราะว่าพวกต่างชาติมันเกิดวิตกจริตขึ้นมาก็เลยเทขายยกตลาด บรรดาแมงเม่าทั้งหลายก็เลยซวยไปด้วย

    เมื่อถามว่า งานนี้ใครซวยที่สุดหรือได้รับผลกระทบมากที่สุด    ผมบอกได้เลยครับว่า ผู้ที่ซวยที่สุด ก็คือผู้ที่โลภมากที่สุด เพราะลงทุนมากที่สุดไงครับ    โลภมาก ลาภหายนั่นแหล่ะ

Read Full Post »

earth.jpgขณะนี้ทั่วโลกกำลังตื่นตัว และวิตกกังวลกับภาวะโลกร้อนเพิ่มขึ้นทุกขณะ หลายประเทศต้องเผชิญกับปัญหาความแปรปรวนของอากาศอย่างรุนแรง ส่งผลให้เกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างมากมายมหาศาล

อย่างที่อเมริกา อยู่ๆก็เกิดพายุพัดรุนแรง บ้านเรือนพังพินาศ ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ประเทศจีนน้ำท่วมรุนแรงบ่อยมาก ดินถล่ม บ้านเรือนจมน้ำ หนูหนีตายนับร้อยนับพันตัว ประชาชนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก บางประเทศอากาศร้อนถึง 50 องศา ประชาชนเสียชีวิตนับพันคน และในบางประเทศไม่เคยมีหิมะตกมาเป็นร้อยปีแล้ว อยู่ๆก็มีหิมะตกลงมาอย่างหนัก ถึงกับจัดงานฉลองกันยกใหญ่ 

ความวิปริตแปรปรวนของโลกที่เกิดขึ้นนี้ นักวิทยาศาตร์ นักสิ่งแวดล้อม และนักภูมิศาสตร์ทั้งหลายให้ความสนใจกันอย่างกว้างขวาง และต่างให้ความเห็นเป็นข้อสรุปที่ตรงกันว่าสาเหตุที่โลกร้อน เป็นฝีมือของมนุษย์ทั้งสิ้น ” 

มนุษย์เป็นสัตว์โลกที่ชาญฉลาด รู้จักดัดแปลงธรรมชาติ และรู้จักประดิษฐ์สิ่งต่างๆขึ้นมาตอบสนองความต้องการของตนเอง นำมาใช้เพื่อความสะดวกสบายของตนเอง ลงทุนวิจัยค้นคว้าพัฒนา เพื่อการดำรงชีวิตและต่อยอดขยายไปในเชิงธุรกิจกันอย่างมโหฬาร แล้วก็ประสบความสำเร็จ นำมาซึ่งความภาคภูมิใจ หลงใหล คลั่งใคล้ในความศิวิไลซ์ของตนเอง สร้างทฤษฎีปลุกเร้าคนรุ่นใหม่ให้เดินเข้าไปสู่วิทยาการและเทคโลโลยีอันเลิศหรู แข่งขันกันใช้ทรัพยากรกันอย่างบ้าคลั่ง สร้างกฏกติกา แบ่งแยกกันต่างๆนานา ข้อตกลงต่างๆในโลกเกิดขึ้นอย่างมากมาย อันเป็นสาเหตุมาจากการแย่งชิงผลประโยชน์กันทั้งสิ้น เป็นวัฏจักรไม่มีที่สิ้นสุด

กล่าวคือ แย่งกัน กีดกันกัน แล้วก็ตกลงกัน  ถ้าตกลงกันไม่ได้ ก็หาสาเหตุให้เกิดความชอบธรรม ยกกองกำลังทหารเข้าข่มขู่และห้ำหั่นกัน และในที่สุดก็ทำข้อตกลงกันอีกผมคิดใคร่ครวญดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ฟันธงได้เลยว่า มนุษย์ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ฟุ้งเฟ้อกันจนเกินความจำเป็น สร้างแรงกระตุ้นให้เกิดหรือกิเลสจนเกินความพอดี มุ่งหาความสุขส่วนตัวจนเกินขอบเขต เห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ ไม่คำนึงถึงความเป็นอยู่ที่พอเพียง ไม่พยายามแสวงหาดุลยภาพในการดำรงชีวิต มุ่งแสวงหากำไร เก็งกำไร จนกลายเป็นการเอาเปรียบ และเบียดเบียนผู้ด้อยโอกาส กอบโกยทรัพยากร เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจจนได้รับผลกระทบกับโลกและประชากรโลก รวมถึงสัตว์ต่างๆอย่างน่าอนาถใจ

ที่เขียนขึ้นมาทั้งหมดนี้ มิใช่เป็นการมองโลกในแง่ร้าย หรือบ่นเพราะความไม่สมหวังอะไรทั้งสิ้น แค่อยากจะบอกว่า ความวุ่นวายทั้งหลายในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ หรือการเมืองก็ตาม ล้วนแต่มาจากสาเหตุของความไม่รู้จักพอเพียงแต่เรื่องที่น่าเศร้าใจเป็นอย่างยิ่ง ก็คือมนุษย์ทั้งหลายที่กลับไม่รู้ตัวเองเลยว่า เป็นผู้เบียดเบียนสัตว์โลก เบียดเบียนธรรมชาติ ทำให้โลกขาดความสมดุล แถมยังเพ้อเจ้อตลอดเวลาว่ามนุษย์คือผู้สร้างสรรค์ กว่าจะรู้ตัวว่ามนุษย์ก็คือผู้ทำลายนั่นแหล่ะ

ปัจจุบันเสียงร้องเริ่มดังขึ้น ขอให้หยุดทำร้ายโลก และหันมาช่วยกันชดเชยกับสิ่งที่ตนเองได้ทำลายลงไป ซึ่งก็ไม่รู้ว่าชาติไหนจะสำเร็จ เพราะประเทศที่เจริญแล้วไม่ยอมให้ความร่วมมือ

ขนาดเราบอกว่า เราจะใช้เศรษฐกิจพอเพียง มันยังไม่เข้าใจเลย กลุ้มครับ …

Read Full Post »