เมื่อครั้งที่ Supprime ทำเอาธุรกิจการเงินในอเมริกาเกิดวิกฤติไปเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา ทั่วโลกก็คิดว่า อเมริกาจะสามารถแก้ปัญหาวิกฤติในครั้งนี้ได้ …
แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น ดูเหมือนว่าบรรดาวาณิชธนกิจในอเมริกาทั้งหลายต่างก็อยู่ในอาการฝันร้ายเรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้
ครั้งหลังสุด ธนาคารแห่งอเมริกา ซึ่งเป็นสถาบันการเงินขนาดใหญ่อันดับ 2 ของอเมริกา ได้ประกาศเลิกจ้างคนงานอีก 3,000 ราย เนื่องจากธุรกิจการเงินส่วนใหญ่ในขณะนี้กำไรหดลงไปอย่างน่าใจหาย โดยไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ลดลงไปถึง 93%
ตั้งแต่เกิดวิกฤติการณ์ดังกล่าวจนถึงปัจจุบัน บริษัทการเงินต่างๆปลดคนงานไปแล้ว 13,000 ตำแหน่ง ซึ่งมากกว่าการปลดพนักงาน 50,000 คน เมื่อปีที่แล้วถึง 2 เท่า และมากกว่าสถิติสูงสุดของปี 2544 ที่มีการปลดคนงานจำนวน 116,000 คน
ขณะนี้บริษัทการเงินในอเมริกาต่างก็ประสบกับปัญหาขาดทุนอย่างหนักจากการจำนองซับไพรม์และเงินกู้ และพันธบัตรองค์กรที่มีความเสี่ยงสูงมาก ก่อให้เกิดผลกระทบในด้านการจ้างงานที่รุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา มีการปลดคนงานออกไป 80 % ของคนงานที่ถูกปลดไปแล้ว
สาเหตุหลักๆของการปลดคนงาน ก็เนื่องมาจากความตกต่ำของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อย่างเช่นบริษัทคันทรี่ไวด์ ไฟแนนเชียน ซึ่งเป็นผู้รับจำนองอันดับ 1 ของอเมริกา ก็ปลดคนงานออกไปถึง 12,000 คน เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้เอง ในขณะเดียวกัน บริษัท อินดี้แมค แมนคอร์ป ก็เลิกจ้างพนักงานไปอีก 1,000 ตำแหน่งในเดือนเดียวกัน และบริษัทแอ็คเครดิตเทคโฮม เลนเดอร์ส ก็ได้ปลดพนักงาน 16,000 ตำแหน่ง และบริษัทแคปิตอลวัน วางแผนปิดแผนกจำนองกรีนพอยน์ลง ทำให้ต้องปลดคนงานออกไปอีก 1,900คน
ท่านทั้งหลายครับ การปลดคนงาน ยังไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้ ยังขยายไปทั่ว ลุกลามไปถึงบรรดานายแบงค์ กิจการเทรดเดอร์ และนักการเงินทั้งหลายอย่างไม่มีใครคาดคิดมาก่อน และผลกระทบได้คืบคลานเข้าไปสู่ยุโรปบางส่วนแถมยังมีแถบเอเซียอีกเล็กน้อย
ขณะนี้เวลาของปี 2550 ยังเหลืออยู่อีกเพียง 2 เดือนเท่านั้น อเมริกาจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้ยุติลงได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก เพราะคนจะต้องตกงานเพิ่มขึ้น และที่น่าวิตกไปกว่านั้นก็คือ ประเทศอเมริกาเป็นประเทศใหญ่ ธุรกิจการเงินเคยอู้ฟู่มั่งคั่ง การเงินภายในประเทศหมุนเวียนดีมีอำนาจการซื้อสูง ประเทศไทยก็สามารถส่งสินค้าไปขายยังสหรัฐอเมริกาเป็นจำนวนมาก จนเรียกได้ว่าเป็นตลาดหลักของประเทศไทย
แต่อนิจจา … เศรษฐีอย่างอเมริกากลับต้องมาจนลงชั่วขณะ ก็อาจจะมีผลกระทบต่อสินค้าส่งออกของไทยบ้าง ผมว่าบรรดาผู้ส่งออกทั้งหลายเตรียมตัวเตรียมความพร้อมไว้บ้างก็ดีเหมือนกันนะครับ เราต้องห่วงตัวเราเองก่อนครับ เพราะขณะนี้รัฐบาลท่านกำลังเป็นห่วงการเลือกตั้ง อาจจะไม่มีเวลาว่างพอ หรืออาจจะมองว่า เป็นหน้าที่ของรัฐบาลชุดใหม่หลังการเลือกตั้งไปเลยก็ได้ …
จะว่าไปแล้วฝรั่งเขาก็ทำอะไรผิดพลาดได้เหมือนกันนะคะ โลกเดี๋ยวนี้มันถึงกันหมดไม่ว่าใครทำอะไรกันที่ไหนรู้ถึงกัน และกระทบถึงกันหมด ดิฉันทำตุ๊กตา ส่งออกไปอเมริกา ก็ไม่มากมายอะไรนักหรอก แต่ว่าถ้าเขามีปัญหาก็น่ากลัวเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นสินค้าอื่นดิฉัน คิดว่าน่ากลัวกว่า เช่น เฟอร์นิเจอร์ อาหารกระป๋อง หรือประเภทสินค้าอุตสาหกรรม ต่าง ๆ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม พวกเราเป็นผู้ส่งออกก็ต้องสู้กันต่อไปค่ะ เราคิดว่าเราไม่รอรัฐบาลอยู่แล้ว
ว่าด้วย Sub-prime
วันหนึ่งที่อ่านข่าวเรื่อง Sub-Prime Mortgage Loan ผมดูว่าเป็นเรื่องไกลตัวนะ แต่วันนี้มันขยับเข้ามาใกล้ตัวเรามากขึ้น ฟังจากท่าน ผอ.ประพัทธโชตเล่า ผสมกับที่ฟังจากคุณสิทธิชัย หยุ่นเล่าแล้ว น่าจะมีผลกระทบต่อภาคการเงินหรือตลาดทุนไทยเรานะ เพราะมีแบงค์ไทยอย่างน้อย 4 แห่ง ที่ลงทุนในตลาด Sub-prime หรือตราสารหนี้ที่มีสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเป็นหลักประกัน (CDO) เช่น K-BANK / SCB / KTB / BBL รวมคร่าว ๆ ประมาณ US$ 700 ล้าน (2.3 หมื่นล้านบาท) คิดเป็น 0.1% ของเงินทุนที่ลงทุนในตลาดนี้ (หรือเป็นคิดเป็นสัดส่วนของทั้ง 4 แบงค์ประมาณ 0.6%) นั้นหมายความว่า ความเสี่ยงและปัญหาที่เกิดขึ้นของ Sub-Prime ในตลาดประเทศสหรัฐนั้นส่งผลกระทบต่อธนาคารพาณิย์ไทยเพียงเล็กน้อย
ที่น่าเป็นกังวลบ้าง คงเป็นเรื่องการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ เพราะเป็นตลาดใหญ่ ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา มีการส่งออกไป USA 14% แต่แนวโน้มขยายตัวลดลง ทางที่ดีผมว่า พยายามขยายตลาดไปยังประเทศใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นจะดีกว่าครับ เช่น ตลาดจีน ตอนนี้ค่าเงินหยวนแข็งขึ้น น่าจะส่งผลดีต่อการส่งออกของไทย แต่สำหรับคนที่กำลังมองหาบ้านสักหลัง ที่ไม่ต้องดาวส์ (ดาวส์ 0%) หรือกู้ได้เต็ม 100 % หรือเกิน 100 % หรืออยู่ก่อนผ่อนที่หลัง จะไม่มีให้ท่านได้เห็นอีกต่อไป เพราะ การปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ จะขอสินเชื่อได้ยากขึ้นครับ แต่ถ้าเรามองดูปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จริง ๆ แล้ว ไม่ได้มีเพียงแค่ปัญหา Subprime เท่านั้นนะครับ ยังมีปัญหาสินเชื่อของผู้บริโภค ปัญหาเรื่องตลาดรถยนต์ที่ยอดขายรถยนต์มีแนวโน้มลดลง และทำให้การลงทุนหุ้นกลุ่มยานยนต์เกิดความเสี่ยง และปัญหาปัญหาการปลดคนงานก็ตามมา
ผมคิดว่าคนอเมริกันมันคงพอทนกันได้ ประเทศเขาร่ำรวยมีเงินประกันสำหรับคนตกงานผมเชื่อว่าไม่ลำบากกันมากนักหรอก แต่ถ้าเป็นบ้านเราซี่รัฐบาลเคยปล่อยคนกินแกลบมานักต่อนักแล้ว มีแต่คนงานช่วยเหลือตัวเอง ขนาดมานอนขอความช่วยเหลือที่หน้าทำเนียบยังให้ตำรวจเอาหมามากัดเลย อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ผมว่ายังเป็นเรื่องที่ไกลตัว แต่ก็ต้องเตรียมตัวกันไว้บ้าง ถ้าประมาทอาจจะมาถึงตัวเราเมื่อไรก็ไม่รู้
ผมว่าอเมริกาโดนบ้างก็ดีนะ เพราะเคยสร้างบาปกรรมกับประเทศอื่นเขาไว้มาก โดนแค่นี้ผมว่ายังน้อยไป เป็นประเทศที่เอาเปรียบชาวบ้านมานานเต็มที่แล้ว ทำตัวเป็นตำรวจโลก อ้างสิทธิมนุษยชน แต่ออกกฎกติกาข่มเหงชาวโลกมาโดยตลอด พวกเราเป็นคนไทยเราต้องเห็นใจคนไทยกันให้มาก ๆ เข้าไว้ อย่าเอาเปรียบกันเองเท่านี้เราก็อยู่กันอย่างเป็นสุขแล้ว
ขอยคุณมากนะคะ คือตอนนี้ดิฉันเป็นนักศึกษาคณะบริหารธุรกิจ แล้วต้องมีการค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่อง sub prime ก็เลยมาเจอที่เว็บบลอกของคุณประพัทธ์โชต ซึ่งมีเนื้อหา เกียวกับเรื่องนี้ ขอบคุณมากๆอีกครั้งคะ และก้อขอบคุณผู้ที่ comment ทั้ง 4 ด้วยนะคะ