ธุรกิจหลักของสังคมไทยจากอดีตถึงปัจจุบัน เป็นธุรกิจซื้อมา-ขายไป ซึ่งจัดตั้งเป็นร้านค้าขนาดเล็กกระจายอยู่ทั่วประเทศไทย ตั้งแต่ระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล ไปจนกระทั่งถึงระดับหมู่บ้าน
ร้านค้าเหล่านี้จะมีทั้งประเภทขายรวม คือ ของกินของใช้และของชำ และมีทั้งประเภทขายเดี่ยว คือ ประเภทเครื่องมือ เครื่องใช้ เคมีภัณฑ์ การเกษตร ยา และวัสดุก่อสร้าง
ธุรกิจเหล่านี้ เป็นแกนหลักในการกระจายสินค้าจากผู้ผลิตไปถึงมือผู้บริโภคทุกหัวระแหงของประเทศ หล่อเลี้ยงอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศให้เจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง สร้างรายได้ทั่วประเทศคิดเป็น GDP ไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร
นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดการสร้างงาน ทำให้คนมีงานทำทั่วประเทศมากมายมหาศาล และที่สำคัญ ” ธุรกิจโชวห่วย … เป็นธุรกิจครอบครัว “ เลี้ยงครอบครัวทั่วประเทศให้มีอยู่มีกิน มีฐานะส่งลูกหลานเรียนจนได้ดิบได้ดี เป็นใหญ่เป็นโต มีฐานะมั่นคงเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด นักธุรกิจระดับใหญ่ของประเทศหลายคนก็มาจากครอบครัวธุรกิจ ” โชวห่วย ”
จนมาถึงวันนี้ ธุรกิจโชว์ห่วย อันถือเป็นแกนหลักทางเศรษฐกิจของประเทศ ของสังคมและของครอบครัว กำลังเกิดปัญหา ถูกรุกรานจากต่างชาติ จนเกือบจะหาที่ยืนไม่ได้ ไม่ต่างอะไรกับค่ายบางระจันที่รอวันแตกพ่าย โดยที่ภาครัฐยื่นมือเข้าไปช่วยช้ามาก เรียกว่า กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้แล้ว ไม่ทันการณ์ เอาแต่เรียกร้องให้ภาคเอกชนปรับตัว
ผมก็ไม่ทราบว่าภาครัฐกับภาคเอกชน ใครควรปรับตัวก่อนใคร แต่ในความรู้สึกของผม ผมรู้แต่ว่า ภาครัฐต้องเป็นผู้นำ ส่วนท่านจะนำอย่างไรนั้น ท่านต้องมีวิธีการของท่านแต่ที่ผ่านมา ผมยืนยันได้เลยว่า … ท่านยังไม่ได้นำครับ
ความจริงแล้ว ในเรื่งผลกระทบจากห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ของต่างชาติ หรือที่เราเรียกกันว่า ” ธุรกิจข้ามชาติ “ นั้น เราเรียกร้องกันมาเกือบ 7 ปีแล้ว แต่ไม่มีอะไรคืบหน้า รัฐอ้างว่าเราไม่มีกฏหมายโดยตรง แล้วก็หาทางออกโดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปช่วยกันหาทางแก้ด้วยการใช้กฏหมายผังเมืองบ้าง กฏหมายควบคุมอาคารบ้าง ใช้เทศบัญญัติที่เป็นกฏหมายปกครองท้องถิ่นบ้าง
แต่กฏหมายตรงๆที่เกี่ยวข้องกับค้าปลีกไม่มี บรรดาผู้ค้าปลีกทั้งหลายก็เรียกร้องว่า
” เมื่อไม่มีแล้ว ทำไมไม่รีบทำ? “
ก็ได้รับคำตอบว่า ” … ขั้นตอนมันเยอะ ”
นี่แหล่ะครับ มันเป็นเรื่องที่เราไม่ใส่ใจตั้งแต่ 7 ปีที่แล้ว จนกระทั่งมาวันนี้ คณะรัฐมนตรีขิงแก่เพิ่งผ่านความเห็นชอบ พ.ร.บ. ค้าปลีกออกมา ซึ่งใช้เวลาทำเรื่องนี้อยู่เกือบ 1 ปีเต็ม แต่ก็ยังถือว่า อยู่ในห้วงเวลาที่พอจะช่วยได้ แต่ก็ทำแบบไฟลนก้นไปหน่อย
ความจริง ผมไม่ได้รังเกียจธุรกิจข้ามชาติหรือต่างชาติหรอกนะครับ แต่ว่าเมื่อเข้ามาทำมาหากินในบ้านเรา ก็ควรจะต้องมีระบบที่ทำให้เรากับเขาอยู่ร่วมกันได้ ไม่ใช่ “เขามา – เราตาย ” หรือให้ “เขาไป – เราอยู่ ” อย่างนี้มันก็จะมีแต่ความขัดแย้ง สังคมไม่สงบสุขผมยังยืนยันว่า เรื่องนี้ต้องเป็นหน้าที่ของรัฐอย่างแน่นอนครับ ที่จะต้องเข้ามาบริหารจัดการเรื่องนี้ให้เรีบยร้อย และทำให้ธุรกิจโชว์ห่วยของเรา พัฒนาเติบโตและเป็นแกนหลักสำคัญทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศชาติต่อไป
ขณะนี้ผมทราบมาว่าพวกค้าปลีกขนาดใหญ่กำลังลงขันไม่ให้ พ ร บ ฉบับนี้ ผ่านสภา พวกเราต้องขอเรียกร้องให้ ส น ช ชุดนี้ทำเพื่อชาติบ้านเมืองกันหน่อย ถ้าชาติย่อยยับแล้วพวกท่านจะอยู่กันอย่างไร ท่านทั้งหลายก็มีกินมีใช้ อยู่กันอย่างสบายพอสมควรแล้ว จะไม่มีสำนึกช่วยชาติบ้านเมืองกันบ้างเชียวหรือ บริษัทข้ามชาติเหล่านี้มันเข้ามาเอาเปรียบเรา ทุกอย่าง โดยอ้างว่าเป็นกการค้าเสรี ทั้งที่ บ้านมันเองมันก็มีขอบเขต ไม่ได้เสรีตามใจชอบแบบที่มันอ้าง พวกเราต้องออกมาพลังต่อต้านกันอย่างจริงจัง และขอประนามใอ้พวกคนไทยที่เป็นสุนัขรับใช้ต่างชาติเพื่อกดขี่คนไทยด้วยกันเอง
ผมเห็นด้วยครับ ผมเป็นลูกแม่ค้าอยู่ต่างจังหวัด ถึงแม้ว่าจะเข้ามาทำงานที่กรุงเทพนานหลายปีแล้วก็ตาม แต่ก็ยังเห็นว่าร้านปลีกในต่างจังหวัดรัฐบาลต้องให้ความดูแล เพราะ ร้านค้าเหล่านี้คือพลังทางเศรษฐกิจอันยิ่งใหญ่ของประเทศ เป็นชนชั้นกลางที่เชื่อมต่อระหว่างชนชั้นทางสังคม ประเทศใดที่ไม่มีชนชั้นกลางประเทศนั้น พัฒนาไม่ได้เลยนะครับ ท่านดูอย่างประเทศพม่าซีครับ ขาดชนชั้นกลางออกมาต่อสู้ ประชาธิปไตยก็ล่มสลาย ไม่มีใครช่วยอะไรได้
ความจริงเรื่องการช่วยโชว์ห่วยนี่ บ้านเราเห็นมีแต่พูดกัน พอทำมันก็ได้เรื่อง (ฟ้องร้องกันอย่าง ART) แต่ไม่ได้ราวสักกะที เมื่อสัก 3 ปีย้อนหลังผมเคยไปซื้อของที่ร้านชำกับรุ่นน้องที่เรียนหมออยู่จุฬา น้องเขาเล่าว่า ร้านโชว์ห่วยร้านนี้ขายทุกอย่างที่ลูกค้าต้องการ แถมเปิดตลอด 24 ชั่วโมงอีกต่างหาก ชื่อร้านจี่ฉ่อยครับ ร้านที่เซเว่นอีเลฟเว่นเรียกว่า ร้านชำมหัศจรรย์ อยู่แถวตลาดสามย่าน จะขายของสารพัดมีทุกอย่าง ที่ตามหาไม่มีในร้านยังแอบออกหลังร้านไปจัดมาให้ จนเด็กจุฬาฯ ต้องยอมในความสามารถของเจ้าของร้านที่มีความพิเศษขายทุกอย่าง มีเยอะจนคาดไม่ถึง บางคนให้สโลแกนว่า
“หาซื้ออะไรไม่ได้ให้นึกถึงจีฉ่อย”
แกมีกลยุทธอย่างนี้ครับ ถ้ามีคนมาซื้อของที่ไม่มีในร้านแกจะบอกว่า “มี รอเหลียว” แล้วก็ออกไปซื้อมาให้ หากไม่สามารถหาซื้อมาได้ก็จะสรรหาให้ได้ภายใน 2 วัน ที่เปิดตลอด 24 ชม.แต่ความจริงช่วงหัวค่ำแกจะปิดร้าน แต่ลูกค้าสามารถเคาะที่หลังร้านได้ตลอด
ลูกค้าจะเรียก “อาซิ้ม” ซึ่งเป็นเจ้าของร้าน ภายในร้านยังมีตู้เก็บสินค้าจำนวนมาก วางเรียงรายไว้จนเหลือทางเดินในร้านกว้างเพียงแค่คนที่ตัวเล็กเท่านั้นที่สามารถเดินไปหยิบของในร้านมาได้
สำหรับเทคนิคการขายคือ ถามหาอะไรมีหมด หากว่าสินค้านั้นไม่มีจะบอกว่าให้รอเดี๋ยวและหามาให้จนได้ เช่น หากต้องการข้าวขาหมู ถามว่ามีไหมคนขายบอกว่า “มี รอเหลียว” แล้วก็ออกไปหลังร้าน ซื้อข้าวขาหมูจุฬาฯ จากตลาดสามย่านมา หรือเคยมีคนถามหากระบวยพลาสติกตักน้ำในห้องน้ำ ก็บอกว่า “มี รอเหลียว” แวไปหยิบมาจากไหนไม่รู้ ยังมีน้ำหยดติ๋งๆ อยู่ก็มี
คนขายร้านนี้บอกว่ามีสปิริตของนักขายอย่างแท้จริง ถ้าถามถึงเลื่อย แกจะวิ่งไปร้านขายอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ข้างๆ แล้วก็มาตั้งราคาเอง ถ้าของชิ้นนั้นต้องใช้เวลาครู่ใหญ่จะมีลูกอม หรือขนมขบเคี้ยวมาบริการด้วย จะได้ไม่เบื่อ และถ้าซื้อเยอะจะมีของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ เช่น ปากกา มอบให้ด้วย
ตัวอย่างสินค้าที่มาขายหรือเคยวางขาย ได้แก่ ของเล่น น้ำอัดลม ปากกา สบู่ ลูกบอลพลาสติก ปูนปลาสเตอร์ รองเท้า กากเพชร กับดักหนู ใบลงทะเบียนเรียนจุฬา ตั๋วเครื่องบิน ฮูล่าฮูป เปียนโน สีน้ำมัน กระดาษ แม้กระทั่งรถยนต์ก็มีบริการสั่งซื้อได้ ดูแล้วร้านนี้เจ๋งกว่าโลตัส หรือเซเว่นเสียอีก
แถวหอการค้าไทยก็มี ร้านเจ้แอ๋ว นะ วิธีการบริหารจัดการร้านอาจดูคล้ายร้านจี่ฉ่อย แต่อาจบริการไม่ขนาดนั้น อีกอย่างเจ้แอ๋วไม่ชอบท่านทักษินเอามาก ๆ ใครไปซื้อของอย่าได้คุยเรื่องการเมืองกะแกเชียวนะ คุยแล้วยาววววววววววว
พยายามทำความเข้าใจปัญหาอยู่ว่ามันอยู่ตรงไหน
เท่าที่ดูรายการโทรทัศน์ คือไม่ได้จบการตลาดนะคะเลยต้องอาศัยคนอื่นวิเคราะห์ให้ฟัง
อย่างเช่นค้าปลีกยักษ์ใหญ่บางเจ้าจะเข้ามาโดยใช้วิธีทุ่มตลาด
เช่นการวางสินค้าในราคาต่ำกว่าทุนเพื่อขจัดคู่แข่ง เป้าหมายชัดเจนคือขจัดคู่แข่ง อันได้แก่ ค้าปลีกต่างชาติ ค้าปลีกในประเทศ ร้านโชว์ห่วย
ดิฉันว่าปัญหาตรงนี้มากกว่าที่ว่าอันตราย ผู้ประกอบการยอมขาดทุนเพื่อจุดประสงค์หลักๆคือขอให้ได้เกิดในวงการเร็วๆ(พวกเพิ่งเข้ามาในตลาด) กับขอให้ได้ครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุด(โดยกำจัดคนอื่นออกไป)
เท่าที่ฟังการต่อสู้แบบสามัญธรรมดา ซื้อมาบวกกำไรแล้วขาย ไม่น่ากลัว โชว์ห่วยพอเอาบริการเข้าสู้และอยู่ได้
แต่จะต่อสู้กับการทุ่มตลาดแบบไม่คำนึงถึงต้นทุน แม้แต่ผู้ผลิตไทยเองที่จะเอา item ไปวางค้าปลีกต่างชาติต้องมีค่าวางสินค้า ค่าชั้น ค่าโชว์ ค่าขาย จิปาถะ แถมขอเครดิตอีก 90 วันเป็นอย่างน้อย ขายดีขอยืดจ่ายออกไปเรื่อยๆ เงินหมุนตรงนี้มหาศาล
ดิฉันว่าคนไทยที่เป็นผู้บริโภคได้ประโยชน์อยู่หรอก (รวมดิฉันด้วยนะ)
แต่คนไทยที่เป็นผู้ผลิตสินค้าและผู้ยึดอาชีพโชว์ห่วย เราจะไม่เหลียวแลเขาเลยหรือ
หยิกเล็บเจ็บเนื้ออยู่ดี ถ้าผู้ประกอบการไทยอ่อนแอ ผลก็จะส่งมาถึงรายได้มวลรวมและคนไทยโดยรวมด้วย
อย่างไรก็ตามดิฉันคิดว่าต้องมีกฎหมายห้ามการทุ่มตลาด การทุ่มตลาดก็เหมือนการยิ่งลูกระเบิดเข้ามาในสนามรบ ซึ่งเดี๋ยวนี้สนามรบที่สู้กันก็คือสนามการค้านั่นเอง ยิ่งโลกไร้พรมแดนเท่าไหร่ ระเบิดก็ยิ่งมาตกในสนามบ้านเราหลายลูกมากขึ้นเท่านั้น ถ้าไม่มีการต่อสู้ขัดขืนเสียบ้างนะ แชร์ตามมุมมองของดิฉันเองตามนี้ค่ะ
ผมว่าอยู่ที่ผู้ประกอบการคนไทย ต้องพัฒนาตัวเองครับ แล้วช่วยกันรณรงค์ให้ผู้บริโภคไทยร่วมมือกัน
อีกอย่าง ผมไม่แน่ใจครับ ว่าบิ๊กซีเนี่ย ของคนไทยหรือเปล่า (ใช่ของเครือเซ็นทรัลหรือเปล่าครับ) ก็ช่วยกันสนับสนุนให้เขาสู้ให้ได้สิครับ
บางครั้งถูกกว่ากันไม่กี่บาท ช่วยคนไทยด้วยกันไม่ดีกว่าเหรอครับ
โลกเปลี่ยนแปลงเสมอ ระวังหมดอายุอะไรที่ไม่มีการพัฒนาทำแบบเดิมคิดแบบเดิมรอวันหมดอายุครับ
ผมมีความเห็นอย่างที่คุณ bluearthy เหมือนกัน เพราะวันนี้พฤติกรรมและรสนิยมของผู้บริโภคในการจับจ่ายสินค้าเปลี่ยนไปมาก จะว่าไปแล้วมาตรการต่าง ๆ ที่พยายามคิด-พยายามทำเพื่อต่อชีวิตโชห่วย อาจทำให้สำเร็จได้ยากพอ ๆ กับการพยายามอนุรักษ์พันธุ์สัตว์สงวนที่ใกล้สูญพันธุ์ การคิดที่จะเก็บร้านโชห่วยไว้สักส่วนหนึ่งเพื่ออนุรักษ์ แบบการสงวนพันธุ์สัตว์หายากไว้ในสวนสัตว์ก็คงทำได้ไม่ยาก แต่ถ้าคิดว่าจะให้ร้านโชห่วยเข้มแข็งอย่างในอดีตและอยู่ได้อย่างดีตามธรรมชาติของธุรกิจที่เคยเป็นอย่างในอดีต ในยุคที่ทั้งความต้องการของลูกค้าและสภาพการแข่งขันในตลาดเปลี่ยนไป แต่ผู้ประกอบการโชห่วยไม่ยอมปรับตัว อาจเป็นเหมือนการพยายามอนุรักษ์รถม้าหรือเกวียนให้มาวิ่งบนถนนแข่งกับรถยนต์ในกรุงเทพฯแล้วส่งเสริมให้คนทั่ว ๆ ไปมาใช้บริการแทนรถเมล์ ในการเดินทางปกติ ซึ่งอาจเป็นเพียงความฝันหรือแนวคิดที่มาใช้หาเสียงได้แต่ทำจริงไม่ได้ก็เป็นได้
เรียน ท่านเจ้าของบล็อกหรือผู้รู้เพื่อขอคำชี้แนะ
ครอบครัวดิฉันอาศัยอยู่ที่ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบฯ และครอบครัวเราทำอาชีพขายของชำ (หรือที่เรียกกันว่า โชว์ห่วย) ปัจจุบันเป็นสมาชิกหอการค้าประจวบฯด้วยค่ะ ดิฉันอยากขอคำแนะนำและทางแก้ปัญหาจากผู้รู้ท่านอื่นๆ หน่อยค่ะว่าควรจะทำอย่างไรดีก่อนอื่นจะขอท้าวความสักหน่อยนะคะว่า ปัจจุบันนี้ ภายในพื้นที่เขตอำเภอปราณบุรี มี Lotus express เปิดไปแล้ว 3 แห่ง ซึ่งครอบครัวดิฉันขอบอกตามตรงว่าได้รับผลกระทบจากการเปิดของ Lotus คือ รายได้ลดลงอย่างต่ำ 30%ต่อเดือน ซึ่งครอบครัวดิฉันก็ไม่ได้ร่ำรวยมีเงินเก็บเงินฝากในธนาคาร (ปัจจุบันที่ทำการค้าอยู่ได้ก็เพราะใช้การกู้เงินจากธนาคารเป็นสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีอยู่ค่ะหรือเรียกได้ว่าใช้เงินหมุนนั่นเอง) และบ้านดิฉันก็ไม่ได้เป็นผู้มีอิทธิพลที่จะจัดการกับปัญหานี้ได้ ก็ต้องก้มหน้าก้มตาจำยอมรับสภาพไป โดยคิดเสียว่าเราก็ต้องประหยัดให้มาก และเนื่องจากบ้านดิฉัน มีทำเลที่ตั้งค่อนข้างใกล้ตลาดสี่แยกปราณบุรี เราก็เลยปรับตัวโดยการตื่นให้เช้าขึ้นเพื่อเปิดร้าน (จากเดิมที่ตื่น ตี5 ปัจจุบันต้องตื่นตี 3 แต่ปิดร้านประมาณทุ่มหนึ่งเหมือนเดิม ) เพราะหวังว่าจะสามารถเปิดขายของให้กับพวกแม่ค้าที่มาตลาดเพื่อซื้อของไปขายต่อได้มากขึ้น เรียกได้ว่าเหนื่อย อดนอน ก็ต้องยอม และอีกอย่างบ้านดิฉันก็ไม่ใช่ยี่ปั๊ว ซาปั๊ว ที่ขายของในลักษณะขายส่งด้วย เพราะการจะเป็นยี่ปั๊ว ซาปั๊วได้นั้น จะต้องมีเงินลงทุนในจำนวนมากพอสมควร
แต่ในที่สุดก็เกิดปัญหาตามมาอีกจนได้ คือ ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ห้างแมคโคร จะมาเปิดในบริเวณสามแยกบายพาส ซึ่งเป็นแยกไป กรุงเทพ หรือหัวหินชะอำ โดยมีระยะทางห่างจากตลาดสี่แยกปราณบุรี ประมาณ 5 กิโลเมตร มิหนำซ้ำ ห้างบิ๊ก ซี และ คาร์ฟู ก็กำลังจะตามมา และถ้านับรวม ห้างโลตัสใหญ่ ที่เปิดที่หัวหินก่อนหน้านี้ด้วยแล้ว ก็กล่าวได้ว่า 4 ห้างนี้จะเปิดห่างกันในระยะทางไม่เกิน 10-15 กิโลเมตร ซึ่งดิฉันมั่นใจว่ากรณีแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในจังหวัดใดมาก่อน ยกเว้นเสียก็แต่ กทม. และพื้นที่ในแถบปริมณฑลที่มีปริมาณประชากรหนาแน่นเท่านั้น
คำถามที่เกิดขึ้นตามมาในใจดิฉันก็คือ อำเภอปราณบุรี และ อำเภอหัวหิน 2 อำเภอนี้ มีประชากรหนาแน่นถึงขนาดที่ว่า 4 ห้างใหญ่จะมาเปิดใกล้กันขนาดนั้นเลยเหรอ และถ้า 4 ห้างเปิดแข่งกัน แต่ละห้างย่อมต้องมีวิธีทางการตลาดของตนเพื่อดึงและชักจูงลูกค้าให้มาซื้อของที่ห้างตน ไม่ว่าจะเป็นการจัดโปรโมชั่น การจัดรายการลดราคาสินค้าต่างๆ แข่งกันแน่ เพราะเมื่อห้างเหล่านี้เปิดขึ้นมาก็ย่อมไม่มีห้างไหนยอมเจ๊งไปง่ายๆแน่นอน คงต้องทำการตลาดทุกวิถีทางเพื่อความอยู่รอดทางธุรกิจของตน
แต่เมื่อมองในมุมกลับถึงร้านค้าในบริเวณนั้นบ้างล่ะ ตอนที่ Lotus Express เปิด ดิฉันไม่เถียงหากประชาชนส่วนใหญ่จะมองว่า ร้านที่ได้รับผลกระทบและเสียผลประโยชน์มากที่สุดคือ ร้านโชว์ห่วย ทำให้ร้านโชว์ห่วยในจังหวัดต่างๆต้องรวมตัวกันออกมาเรียกร้อง ทั้งนี้ก็เพราะลักษณะสินค้าที่ขายอยู่ใน Lotus Express นั้นเหมือนกันกับสินค้าที่ขายในร้านโชว์ห่วย แต่ประเด็นสำคัญที่ดิฉันอยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำในเรื่องนี้ ก็คือ ห้างที่จะเปิดนั้น ไม่ได้มีสินค้าจำกัดเฉพาะแค่ที่มีอยู่ในร้านโชว์ห่วยเท่านั้น แต่มีสินค้าแทบทุกประเภทเรียกว่าครบวงจรเลยก็ว่าได้ ทั้งเสื้อผ้า ผักสด ผลไม้ ขนม อาหารสัตว์ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ และห้างเหล่านี้ก็มีทุนจำนวนมหาศาลที่ประชาชนอย่างเราไม่สามารถสู้ได้เลย
เมื่อเป็นแบบนี้ผลกระทบที่จะได้รับจะไม่ใช่แค่ร้านโชว์ห่วย แต่เศรษฐกิจในชุมชนทั้งชุมชนจะได้รับผลกระทบอย่างมาก และหากมองว่าห้างเหล่านี้เป็นห้างขายส่ง ซึ่งผู้ซื้อต้องเป็นสมาชิกและซื้อในปริมาณมาก ดิฉันขอบอกได้เลยว่าไม่จริง ไม่มีบัตรสมาชิก พนักงานก็มีบัตรให้ยืม และเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ประชาชนไม่มีกำลังซื้อของในปริมาณมาก ห้างเหล่านี้ก็ต้องปรับตัวเพื่อให้ห้างอยู่ได้ โดยเน้นการขายปลีกด้วย ถามว่ากฎหมายที่ออกมากำหนดห้างขายส่งพวกนี้ได้ผล สามารถควบคุมห้างเหล่านี้ได้จริงหรือเปล่าในทางปฏิบัติ แล้วใครล่ะที่เป็นผู้ตรวจสอบ เพราะก็เห็นกันอยู่ว่ากฎหมายเหล่านั้นแทบจะไม่มีผลเลย
โดยส่วนตัวแล้ว ตัวดิฉันเองไม่ได้มีอาชีพค้าขายโดยตรง ดิฉันสำเร็จการศึกษาปริญญาโท ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่พ่อแม่ และพี่ดิฉันซึ่งเป็นผู้ส่งเสียให้ดิฉันศึกษาเล่าเรียนจนจบนั้น ทำอาชีพค้าขาย ดิฉันไม่สามารถทนเห็นบ้านและครอบครัวของดิฉัน ตลอดทั้งร้านค้าอื่นๆ ภายในชุมชนปราณบุรีถูกทำลายไปต่อหน้าต่อตาได้ ที่กล่าวเช่นนี้เพราะเมื่อห้างเหล่านี้เปิด พ่อค้าแม่ค้าทุกอาชีพย่อมได้รับผลกระทบกันอย่างถ้วนหน้า สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็เหมือนกับการนับถอยหลังรอดูว่าใครจะทนไม่ได้ ปิดตัวไปก่อนกันเท่านั้น และเมื่อร้านค้าต้องยอมปิดไปเพราะสู้กับนายทุนต่างชาติไม่ได้ ผลกระทบก็จะเกิดเป็นห่วงโซ่ต่อร้านค้าอื่นในชุมชนทั้งชุมชน แล้วทีนี้ทั้งชุมชนจะทำอะไรกิน
หลายคนมองว่าทางแก้ปัญหาอีกทางหนึ่งคือ ต้องเปลี่ยนอาชีพ โดยคิดว่าธุรกิจที่จะอยู่ได้ในอนาคต คือธุรกิจที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ธุรกิจที่ใช้ฝีมือ ตลอดถึงการค้าบริการ ซึ่งดิฉันก็ไม่เถียง และเห็นด้วยในข้อนี้ แต่ถามกลับว่าประชาชนในต่างจังหวัดที่ทำการค้าขาย อย่างเช่นบ้านดิฉันนั้น พ่อแม่ พี่ของดิฉันมิได้มีโอกาสที่จะศึกษาจนสำเร็จการศึกษาขั้นสูง พ่อแม่จบ ป. 6 พี่จบ ปวส. ก็ออกมาทำงานช่วยที่บ้านเพื่อส่งเสียให้ดิฉันและน้องสาวได้มีโอกาสศึกษาจนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท ปริญญาตรีได้ (ซึ่งตรงจุดนี้ก็นับเป็นบุญของดิฉันและน้องสาวที่มีโอกาสได้ศึกษาจนสำเร็จ ) ดิฉันก็อยากถามว่าแล้วอย่างพี่ดิฉันที่มีการศึกษาระดับ ปวส. ซึ่งปัจจุบันสามารถทำการค้าขายหาเลี้ยงครอบครัว เลี้ยงปู่ย่า พ่อแม่ ภรรยาและลูกได้ อาจจะไม่ใช่ชนิดที่ว่าอยู่ได้อย่างสบาย มีเงินเก็บเป็นแสนเป็นล้าน แต่ก็พอมีข้าวกินทุกมื้อ ไม่ต้องอดอยาก แล้ว ณ.วันหนึ่งที่การค้าต้องปิดตัวลงเพราะสู้กับนายทุนต่างชาติไม่ไหว อนาคตจะทำอย่างไร จะเปลี่ยนอาชีพก็คิดได้แต่เปิดร้านอาหาร หรือขายของกิน เหมือนกับยุคเศรษฐกิจฟองสบู่ พอฟองสบู่แตกคนก็หันมาทำการค้าขายอาหารกันมาก เพราะคิดว่าอย่างไรคนก็ยังต้องกินข้าว กินน้ำ ทุกวัน ไอ้จะให้ไปทำอาชีพอย่างอื่นก็ไม่มีเงินทุนพอ และถ้าคนอื่นๆ คิดอย่างดิฉัน หันมาขายอาหาร ขายน้ำกันหมด แล้วใครล่ะที่จะเป็นผู้บริโภค!!!
ดิฉันไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลถึงต้องเป็นห่วงผลประโยชน์ของนักธุรกิจต่างชาติ นักลงทุนต่างชาตินัก แล้วปล่อยให้ประชาชนคนไทยต้องหมดหนทางทำกินจากที่เคยเป็นเจ้าของธุรกิจ อยู่ได้แบบพอกินพอใช้ อาจไม่ถึงกับสบายหรือร่ำรวย มีเงินเหลือกินเหลือใช้ แต่ก็ยังมีความสบายใจกว่าที่ต้องไปเป็นลูกจ้างกินเงินเดือนจากบริษัทต่างชาติ แล้วก็ต้องซื้อของซึ่งให้กำไรต่างชาติ สุดท้ายแล้วผลประโยชน์ทั้งหมดตกอยู่ที่ใคร จากที่เงินไหลเวียนในประเทศ กลับกลายเป็นคนไทยทำงานแทบตาย แต่สุดท้ายเงินไหลออกนอกประเทศหมด
ดิฉันเคยได้ยินมาว่า มีบางประเทศไม่ค่อยแน่ใจว่าญี่ปุ่น หรือ อังกฤษ ที่เค้าคุ้มครองผู้ประกอบอาชีพกสิกรรมของประเทศเค้า โดยรัฐบาลห้ามนำเข้าสินค้าเหล่านั้น เพราะมิเช่นนั้นแล้วจะทำให้ผู้ประกอบอาชีพกสิกรรมเหล่านั้นไม่สามารถอยู่ได้ เพราะไม่สามารถสู้ราคากับสินค้านำเข้าซึ่งมีราคาถูกกว่าได้เลย ทำให้ดิฉันกลับมาตระหนักคิดได้ว่า ประเทศไทย แท้จริงแล้วถือเป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก ในอันดับต้นๆ ของโลกก็อาจเป็นได้ ลำพังสินค้าในประเทศ ค้าขายในประเทศ เราก็สามารถอยู่ได้ โดยเงินก็ยังคงไหลเวียนอยู่ในประเทศ ไม่ต้องไปเป็นลูกจ้างทำงาน เหนื่อยแทบตาย สุดท้ายคนไทยก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เพราะผลกำไรที่เกิดขึ้นนั้นไปตกอยู่ในมือนักลงทุนจากต่างประเทศหมด
ดิฉันอยากขอความช่วยเหลือจากผู้รู้ท่านอื่นๆ หน่อยค่ะ เพราะทราบมาว่าการที่แมคโครจะมาเปิด ที่อำเภอปราณบุรีนั้น มีผู้มีอิทธิพล ซึ่งเคยลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคไทยรักไทย เป็นนายหน้าซื้อ ขายที่ดินให้โดยเค้าได้รับผลกำไรไปเป็นจำนวนมหาศาล นอกจากนั้นการที่ห้างเหล่านี้จะมาเปิด ดิฉันไม่แน่ใจว่าใครเป็นผู้อนุมัติให้ห้างเหล่านี้เปิดได้ แต่เท่าที่ทราบมาจากชาวบ้านละแวกนั้น รู้สึกว่าจะเป็น อบต.วังพงก์ เป็นผู้เซ็นอนุมัติให้มีการก่อสร้างห้างแมคโครได้ โดย อบต.ได้รับผลประโยชน์ไป ไร่ละ 6 ล้านบาท (แมคโครที่กำลังก่อสร้างคาดว่าจะใช้เนื้อที่ประมาณ 50 ไร่) นอกจากนั้นยังมี ห้างบิ๊กซี คาร์ฟู ที่กำลังจะสร้างตามมาอีกในอนาคตอันใกล้ เพราะตอนนี้เห็นว่ามีการถมที่ดินเตรียมการก่อสร้างแล้ว แต่ในกรณี ห้าง บิ๊กซี และ คาร์ฟู ดิฉันไม่ทราบว่าใครเป็นผู้เซ็นอนุมัตินะคะ
ตอนนี้ชาวบ้านที่ทำการค้าในอำเภอปราณบุรีต่างก็ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไร เพราะไม่เคยมีจังหวัดไหนที่มี 4 ห้างสร้างในระยะทางใกล้กันมากอย่างนี้มาก่อนในต่างจังหวัด ชาวบ้านผู้ประกอบการร้านค้าต่างๆ ต่างก็รู้ดีว่าถ้า 4 ห้างนี้เปิดเมื่อไหร่ ตลาดตายแน่ (ซึ่งปัจจุบันนี้ก็แย่อยู่แล้ว แม้ว่าห้างจะยังไม่เปิด) ชาวบ้านอยากจะรวบรวมรายชื่อยื่นคัดค้านการเปิดของห้างเหล่านี้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเสนอตัวเป็นตัวตั้งตัวตีหรือเป็นแกนนำ เพราะกลัวจะไปขวางผลประโยชน์ของผู้มีอิทธิพล แล้วจะโดนสั่งเก็บ เหมือนกรณีโรงไฟฟ้าบ่อนอก ที่แกนนำผู้คัดค้านคือ คุณเจริญโดนสั่งเก็บ ลูกและเมียเขาก็ออกมาเรียกร้อง สุดท้ายเรื่องก็เงียบหายไป ดิฉันเองยอมรับว่าตัวเองร่ำเรียนมาระดับนี้ ยังไม่สามารถทำอะไรได้เลย แต่จะให้ดิฉันอยู่เฉยทนยอมรับสภาพ และทนเห็นร้านค้าในชุมชนชาวปราณบุรีต้องนับวันรอปิดตัวไปทีละร้าน ดิฉันก็ทนไม่ได้ นอกจากนั้นเคยมีชาวบ้านไปคุยกับอดีต สส. พรรค ประชาธิปัตย์ ซึ่งก็ดูแล้วว่าน่าจะพอมีบารมี และพอมีอิทธิพลที่จะงัดข้อกับผู้มีอิทธิพลอีกฝ่ายได้ แต่ สส. ท่านนั้นก็บอกชาวบ้านกลับมาว่าให้รวบรวมรายชื่อคัดค้านมาแล้วจะช่วยดำเนินการให้เท่าที่ช่วยได้ ซึ่งปัญหาสำคัญก็อยู่ตรงจุดนี้ด้วยค่ะว่า ไม่มีใครกล้าพอที่จะเป็นตัวตั้งตัวตีไปรวบรวมรายชื่อ นอกจากนั้น สังคมต่างจังหวัดจะว่าเป็นลักษณะสังคมที่พูดกันปากต่อปากก็ว่าได้ การจะทำอะไรสักอย่างจะรู้กันเร็วมาก
ดิฉันเคยพูดกับที่บ้านว่า ดิฉันจะเป็นตัวตั้งตัวตีให้เอง ก็ยังโดนที่บ้านคัดค้านด้วยความเป็นห่วงว่า ถ้าตายแล้วได้ผลมันก็คุ้ม แต่ที่มันเคยเกิดขึ้นมาทุกครั้งก็มีแต่ตายฟรีเท่านั้น ถึงตรงนี้ดิฉันก็จนปัญญาจริงๆ ไม่รู้ว่าจะช่วยชาวบ้านร้านค้าแถวนั้นและที่สำคัญจะช่วยบ้านตัวเองได้อย่างไร แต่ถ้าจะให้เล่นเกมตามแบบเศรษฐกิจทุนนิยม การค้าเสรี และยอมรับกฎปลาใหญ่กินปลาเล็กไปตลอด ชาวบ้านอย่างเราก็คงหมดหนทางทำกินแน่ ในอนาคตลูกหลานเราก็อย่าหวังว่าจะมีธุรกิจเป็นของตัวเองได้ ถ้าเกิดมาแล้วไม่ได้เป็นทายาทมหาเศรษฐีที่มีเงินถุงเงินถังเป็นมรดกตกทอดให้หลายร้อยหลายพันล้าน !!!!!!!
สุดท้ายดิฉันก็กลับมาคิดว่าอำเภอปราณบุรี เป็นอำเภอข้างเคียงกับอำเภอหัวหินซึ่งเป็นอำเภอที่เป็นที่ตั้งของพระราชวังไกลกังวล ซึ่งเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระราชินี ถ้าห้าง 4 ห้างเกิดขึ้นในระยะทางห่างกันเล็กน้อยแบบนี้ ทำไมต้องเป็นที่นี่ ที่อำเภอปราณบุรี จ.ประจวบฯ โดยที่ประชาชนตัวเล็กๆในชุมชนที่อาศัยและประกอบอาชีพทำการค้าขายมานานกว่า 30 ปี ไม่มีสิทธิมีเสียงอะไรเลย ทำได้แต่เพียงต้องก้มหน้าก้มตายอมรับสภาพที่จะเกิดขึ้น ปัจจุบันคนไทยไม่เห็นคุณค่าของตลาดสด คนภายนอกมักกล่าวหาว่าเราไม่มีการปรับตัว โดยเฉพาะโชว์ห่วยมีของให้เลือกบางยี่ห้อ ดิฉันตอบได้เลยว่าจริงที่มีเพียงบางยี่ห้อ จะให้มีครบทุกยี่ห้อนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะ คน10 คนต้องการคนละอย่าง หากจะให้หาครบ 10 อย่าง ร้านค้าก็คงทำไม่ได้เพราะต้องซื้อของจากบริษัทมาขาย หากสินค้ายี่ห้อใดขายไม่ออกเงินก็จมทุน ดังนั้น ร้านค้าส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกสินค้าที่ประชาชนส่วนใหญ่ในละแวกนั้นใช้เป็นประจำมาขาย ต่างกับในห้างเพราะบริษัทผู้ผลิตสินค้าต่างๆ ต้องไปติดต่อทำสัญญาเช่าพื้นที่เพื่อวางของขายในห้างโดยจ่ายค่าเช่าเป็นหลักแสนหลักล้าน หนำซ้ำบริษัทผู้ผลิตยังให้เครดิตการชำระเงินแก่ห้างนานกว่าที่ให้ร้านค้าอีกด้วย และด้วยปัจจัยเหล่านี้เองทำให้ร้านค้าไม่สามารถปรับตัวสู้ห้างเหล่านั้นได้เลย
ดิฉันขอความกรุณาอย่างสูง ช่วยชี้แนะ ให้คำแนะนำ และทางแก้ปัญหาหน่อยค่ะ ว่าจะทำอย่างไรดี จะเป็นพระคุณอย่างยิ่งค่ะ ขอบคุณล่วงหน้านะคะ …..จนปัญญาแล้ว
ประเด็นนี้ ผมว่าเรากะลังจะเสี้ยมไทยให้เป็นศัตรูกับคนกว่า 6 พันล้านคนจาก 188 ประเทศทั่วโลกนะ และยังก่อให้เกิดความแตกแยกภายในเมืองไทยของเราเองอีกด้วย หากเราตราหน้าร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ว่าเป็นศัตรูของร้านโชห่วยไทย แล้วคนของกิจการเหล่านี้จะกลายเป็นอะไร? ตั้งแต่ ยาม, พนักงานเก็บเงิน, คนแล่เนื้อ, ประชาสัมพันธ์, พนักงานทำความสะอาด, คนขับรถ, ฝ่ายจัดซื้อ, ฝ่ายบุคคล ไปจนถึง ผู้จัดการสาขา, ผู้บริหารระดับสูง และ ผู้ถือหุ้น คนเหล่านี้ไม่ใช่คนไทยหรือ? (กิจการค้าปลีกใหญ่ล้วนมีผู้บริหารและผู้ถือหุ้นชาวไทย ถึงแม้ว่าจะมีชาวต่างชาติร่วมบริหารและถือหุ้นใหญ่) พวกเขาไม่มีสิทธิและเสรีภาพในการทำงานและประกอบการหรือ? ถ้าไม่ให้เขาทำงานของเขาแล้วจะให้เขาไปทำอะไร? พนักงานส่วนใหญ่ของ “ร้านค้าปลีกยักษ์” มีกำลังทรัพย์และความชำนาญพอที่จะออกมาเปิด “โชห่วย” ของตนเองหรือ? เหตุใดเราจึงจะ ตัดสิทธิ์ ในการ แข่งขัน ของคนไทยกลุ่มนี้ เพื่อให้ อภิสิทธิ์ ในการ ผูกขาด กับ “โชห่วย” ?
การแบนหรือต่อต้านร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ นอกจากไม่เป็นธรรมกับพนักงานและผู้ประกอบการแล้ว ที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้นก็คือ เป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของ ผู้บริโภค ซึ่งก็คือชาวไทยทั้งประเทศ ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่เสนออีกตัวเลือกหนึ่งให้กับผู้บริโภคไทย และรถที่จอดเต็มลานจอดรถยักษ์ก็ชี้ให้เห็นว่าคนจำนวนมากชื่นชอบตัวเลือกตัวนี้ คนอื่นมีความชอบธรรมอันใดที่จะไปปิดกั้นเสรีภาพในการใช้สอยของ คนไทย กลุ่มนี้ แล้วบังคับให้พวกเขาไปจับจ่ายในร้านที่เขาชอบน้อยกว่าหรือสะดวกน้อยกว่า?
พรรคการเมืองยังมีพรรคทางเลือกใหม่เลย
ร้านชำขายของแพง
ผมไม่ได้จะมาร้องเรียนอะไรมาก แค่อยากจะบอกให้บรรดาร้านค้าปลีกใน จ.กระบี่ได้รับรู้ไว้ ี่วันนึงผมขับรถอยู่ในตัวเมืองกับแฟน ๆ หิวน้ำจึงหาร้านซื้อน้ำ ก็แวะจอดซื้อน้ำที่ร้านค้าปลีกแถวๆ การประปาเป็นร้านที่ติดปา้ยว่า”ไม่เอาห้างต่างชาติ”(ช่วงที่ห้างต่างๆกำลังก่อสร้างในกระบี่)ได้ซื้อน้ำดื่มตรา สิงห์ขวดใหญ่ 1 ขวด คุณเชื่อไหมครับว่าเค้าขายขวดละ 20 บาทเลย ผมเลยคิดว่าดีแล้วที่ห้าง โลตัส บิ๊ก ซี มาเปิดเพราะถ้าคิดว่าไม่เอาห้างต่างชาติแต่ขายแพงขนาดนี้ ผมยอมรับห้างต่างชาติดีกว่า ขนาด 7-11ยังขายแค่ 14 บาทเลยเป็นคุณๆจะเลือกซื้อที่ไหน นี่ยังมีอีกหลายร้านในจ.กระบี่ที่ขายแพง เช่นร้าน V-SHOP หน้าเทคนิคกระบี่ขาย CD แผ่นเปล่าแผ่นละ 15 บาท ร้านขายน้ำเป็นรถยนต์ที่หาดนพรัตน์ขายน้ำเปล่าขวดเล็กขวดละ 15 บาท หวังว่าจะมีคนกระบี่หรือผู้เกี่ยวข้องที่จัดการได ้เข้ามาอ่านนะครับ อีกอย่างครับค่าแรงที่ จ.กระบี่ถูกมากเมื่อเทียบกับภูเก็ต (บ้านผมอยู่ภูเก็ต) แต่ของแพงกว่าภูเก็ตครับ
นักธุรกิจต่างชาติที่มาอยู่ในเมืองไทย เป็นได้แค่แขกผู้มาเยือน
ไม่ใช่เจ้าของประเทศไทยนะ
บางท่านมีความเป็นห่วงว่าจะมีความแตกแยก และกลัวว่าต่างชาติจะถอนการลงทุนผมว่าเรื่องนี้ไม่มีอะน่าเป็นห่วงนะครับ เพราะถ้ารัฐบาลทำเรื่องนี้ให้มีความแจ่มชัดจัดการเรื่องนี้ให้เป็นระบบก็จะอยู่ร่วมกันได้โดยไม่มีปํญหา ที่พวกเราเรียกร้องนั้นก็คือเรียกร้องให้มีการจัดระบบให้เกิดความเป็นธรรม ไม่ใช่เรียกร้องให้ขับไล่ต่างชาติ พวกเรามีจิตสำนึกเพียงพอ มีวุฒิภาวะมากพอที่จะรู้ว่าอะไรมันจะมีผลกระทบกับใครอย่างไรพวกเราในฐานะที่ทำค้าปลีกรายย่อยกันมานานตั้งแต่บรรพบุรุษ เรารู้ว่าโลกมีการเปลี่ยนแปลง เราก็พัฒนาเปลี่ยนแปลงกันไปมากพอสมควร แต่ก็ต้องค่อยเป็นค่อยไปเพราะธุรกิจประเภทนี้มีทุนน้อยครับ และมีความเสี่ยงสูง ลูกค้าก็อาศัยคนที่อยู่ในละแวกนั้น ไม่ไกลจากพื้นที่ของร้านค้ามากนัก แต่ผมยืนยันได้ว่าพวกเราคือคนส่วนใหญ่ครับ ที่กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีจากเราเพิ่มขึ้นทุกปี และยังเชื่อมั่นว่าพวกเราทั้งประเทศชำระภาษีมากกว่าห้างต่างชาติแน่นอน
ผมลองเอา เหรียญ 25,50 ไปซื้อโชว์ห่วยแถวข้างบ้าน โดนด่า บุพการี เฉยเลย
แต่พอเอาเหรียญ 50 กะ 25 สตางค์ ไปซื้อของ 20 ก่าบาท พนักงาน7-11 บ่น พี่น่าจะนับมาให้ผมก่อนะพี่ (แต่มันก้อรับนะ)
แล้วพี่ว่าผมควรจะไปที่ร้านให้ดีกว่า
ผมฟังรายการ คลื่น 96.5 คลื่นความคิด เขาพูดเรื่องห้างค้าปลีกยักษ์ในเมืองไทย เป็นกรณีเทสโก้โลตัส ฟังแล้วน่าสนใจดี เลยเอามาโพสต่อครับ
คำถามแรก เทสโก้โลตัสคืออะไร?
ตอบ…เทสโก้คือ มันทุนยักษ์ข้ามชาติ (จากอังกฤษ) ที่มาฆ่าธุรกิจโชว์ห่วยของคนไทย เค้ามีการวางแผนและระบบการทำงานที่หวังผลกำไรสูงสุด เค้าเอากำไรมหาศาลกลับไปอังกฤษ แต่ช่วยคนไทยด้วยการจ้างลูกจ้างคนไทยด้วยค่าแรงถูกๆ ที่เค้าได้กับเสียมันต่างกันมากมาย คนไทยที่ชอบซื้อของโลตัสเพราะของถูกเปรียบดั่งแจกจ่ายสิ่งที่ควรจะเป็นของคนไทยให้ชาวบ้านชาวช่อง ที่ไม่ได้มีบุญคุณกับโคตรเหง้า บรรพบุรุษของเราสักนิด
ทำไมเทสโก้ถึงขายสินค้าราคาต่ำกว่าท้องตลาด?
ตอบ… เทสโก้ซื้อของจากผู้ผลิตในปริมาณมากจึงสามารถกดราคาให้ต่ำลงได้ ระยะเวลาที่โลตัสขอเครดิตจากผู้ผลิต 2 เดือน (ขอติดไว้ 2 เดือน) เพื่อจะได้เอาเงินจำนวนมหาศาลไปกินดอกที่แบงค์ แต่ตัวเองกำลังเอาเปรียบผู้ผลิต สินค้าบางอย่างสามารถขายราคาต่ำกว่าท้องตลาดมากๆ เนื่องจากเอาส่วนต่างของดอกเบี้ยที่ว่านี้ไปชดเชย พ่อแม่ใครมีโรงงานก็ระวังตัวให้ดี ส่งของให้โลตัส มันจะขายถูกกว่า จะฆ่าตัวคุณเองนั่นแหละ นอกจากนี้ผู้ผลิตยังถูกเอาเปรียบด้านอื่นๆ อีกหลายอย่าง สรุป ถึงสินค้าจะขายของถูกกว่าผู้ผลิตเอง แต่ โลตัสได้กำไรจากการปล่อยเช่าพื้นที่ในห้างแพงๆ และเอาเงินคนไทยไปกินดอกเบี้ยที่แบงค์ไง
เกิดอะไรขึ้นบ้างเมื่อเดินเข้าไปซื้อของในโลตัส?
ตอบ….เงิน 100 ที่เราจ่ายเป็นค่าสินค้าให้โลตัสจะถูกแบ่งเป็นค่าจ้างยามและพนักงานทำความสะอาดและแคชเชียร์ 10 บาท เสียภาษี 5 บาท ต้นทุนอีกประมาณ 35 บาท ส่วนที่เหลือ 50 บาทส่งกลับอังกฤษ ใครชอบทีละ 1000 สรุปว่าให้เค้าเอากลับไปเท่าไหร่หรือ…อืม daddyใครอยู่อังกฤษบ้างเนี่ย? ถ้าไม่มีญาติเป็นคนอังกฤษก็หยุดสนับสนุนโจรปล้นชาติได้แล้ว
โลตัสมีวิธีการทำตลาด แบ่งเซลล์เชื้อโรคอย่างไร?
ตอบ… เริ่มจาก เปิดสาขาใหญ่ในตัวจังหวัด จากนั้นเก็บข้อมูลว่าคนจากอำเภอไหนมาซื้อของมากก็จะตามไปแบ่งตัว..เอ๊ย เปิดสาขาย่อยที่สาขานั้น เป็นการทำตลาดแบบกินถึงรากหญ้า….จนในที่สุดร้านขายของทั่วไปก็จะอยู่ไม่ได้ ต้องปิดตัวลง ….ฉลาดมากๆ นอกจากนี้สินค้าอะไรก็ตามที่โลตัสสั่งขายแล้วดันขายดี โลตัสจะทำการผลิตเป็นชื่อยี่ห้อของตัวเองและขายให้ถูกกว่า เป็นการตัดอนาคตผู้อื่น (ที่เป็นคนไทยเหมือนกับเรา)
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นในตอนจบ?
ตอบ… เมื่อร้านเล็กๆ ปิดตัวลง โลตัสจะขายสินค้าราคาไหนก็ได้ เพราะมีเค้าอยู่เจ้าเดียวนี่นา เราก็จะกลายเป็นเหยื่อให้เค้ามาฆ่าถึงหน้าประตูบ้านเราไง
สรุป
อย่าคิดว่ามีแต่ธุรกิจขายของชำเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบจากโลตัส เพราะในโลตัสมีทั้งร้านตัดผม ร้านขายคอม มือถือ เครื่องใช้ไฟฟ้าราคาถูกๆ ร้านขายอะไหล่ และอื่นๆ ต่อไปคุณจะโดนโลตัสแย่งธุรกิจไป กรุณาอย่าเห็นแก่ของราคาถูก ของตากแอร์ เพราะคุณกำลังทำลายชาติอย่างรุนแรง ไทยอาจกลายเป็นอาร์เจนตินา2 ก็ได้ เพราะที่นั่นมีห้างพวกนี้ประมาณ 200 สาขา ในที่สุดทำให้ประเทศล่มสลายไปเลย …เป็นไงล่ะ ..อยากไม่รักประเทศกันเองนี่นา
สมัยก่อนเราอาจคิดว่าพม่าคือประเทศที่ชอบมาคุกคามเรา แต่นั่นมันเป็นแง่ของการสู้รบ ปล้นสะดมแบบใช้ดาบเป็นอาวุธ สมัยนี้อังกฤษก็กำลังปล้นสดมเราด้วยวิธีการง่ายๆ สบายๆ แค่มีเงินก็ปล้นเราได้แล้ว บอกสิ ใครยังอยากเอาโลตัสมาตั้งไว้ในดินแดนบรรพบุรุษอีก?
ไดโนเสาร์ ไม่มีแล้วในโลก
รูปแบบเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงตามกระแสโลก คนที่อยู่รอดคือคนที่พร้อม และ กล้า ที่จะเปลี่ยนแปลง
ตราบใดที่หยุดไม่ให้โลกหมุนไม่ได้ ก็ต้องตามกระแสโลกไป แล้ว หากลยุทธ์พัฒนาปรับปรุง ธุรกิจ ตัวเองให้อยู่รอดให้ได้ (มองแต่ปัญหา ไม่มองหาวิธีแก้ ก็จนกันต่อไป)
เราตระหนักดีว่าร้านโชว์ห่วยมีบทบาทสำคัญต่อสังคมไทยและในประเทศต่างๆมากแม้แต่ในสหรัฐฯ ร้านขายส่งใหญ่ๆต้องตั้งอยู่นอกเมืองไกลเชียว
ทางกลุ่มนักธุรกิจภาคเอกชนเรา นอกจากเข้าใจบทบาทของร้านโชว์ห่วยแล้ว เราต่อยอดให้ทางร้านร่วมแก้ไขภาระกิจสำคัญของชาติ ให้พี่น้องเกษตรกรมีเศรษฐกิจครอบครัวที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน และจะกลับมีเงินรายได้มาสนับสนุนซื้อสินค้าที่จำเป็นจากร้านโชว์ห่วยมากยิ่งขึ้น ทั้งทางกายและใจ ผิวพรรณความงาม ล้วนแต่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เราได้ช่วยฟื้นฟู้ร้านโชว์ห่วยยุคใหม่ไปแล้วร้อยกว่าแห่ง ให้ทำธุรกิจได้ทั่วประเทศไทย จากทำเลเดิม และลงทุนน้อย ถ้าอยากรู้ว่าเราทำกันอย่างไรลองมาดูรายการย่อๆต่อไปนี้
* ร้านโชว์ห่วยแบบเก่า หรือผู้สนใจ จะทำร้านโชว์ห่วยยุคใหม่ ที่ทางกลุ่มได้ส่งเสริมมาแล้ว ๓ ปี ได้ไปร้อยกว่าแห่ง ซึ่งยังมีอัตราการขยายตัวน้อยมาก
* พันธมิตรของเราจึงลงทุนติดเขี้ยว เล็บเพิ่มให้แก่ทุกๆร้าน ใช้ระบบ อี-คอมเมิร์ซ ให้ใช้ฟรีอีก ๑๐๐ กว่าล้านบาท เพิ่งเริ่มเปิดให้ใช้ในกลุ่ม ช่วยให้ร้านโชว์ห่วยยุคใหม่ ทำการค้าและขยายกิจการออกไปได้ทั่วประเทศ และสามารถเติบโตไปกับเราในประเทศต่างๆ
* ใช้เงินลงทุนเพียงเรือน หมื่น ใช้พื้นที่ทำ การไม่กี่ตารางเมตร ไม่ต้องสต๊อคสินค้า และส่งสินค้าให้ผู้สั่งซื้อถึงบ้าน ทางคลังสินค้าจะดำเนินการส่งสินค้าให้เองทั่วประเทศ
* เรามีสินค้า เริ่มกิจการ เน้นการส่งเสริมการลดต้นทุนการผลิตให้แก่พี่น้องเกษตรกร เพิ่มปริมาณผลผลิต ปรับปรุงคุณภาพเป็นเกรดเอบวก ปลอดสารพิษตกค้าง ด้วยนวัตกรรมทางการเกษตรสมัยใหม่ สกัดจากสารอินทรีย์ธรรมชาติล้วนๆ ช่วยปรับปรุงสิ่งแวดล้อม และอนุรักษ์ธรรมชาติ ใช้ทดแทนปุ๋ยเม็ด ปุ๋ยอินทรีย์ หรือน้ำหมักชีวภาพ ไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง และช่วยลดระยะเวลาการผลิตแต่ละช่วงลงประมาณ ๑๔%
* เมื่อเกิดผลผลิต ทางร้านโชว์ห่วยจะรับซื้อมาจำหน่ายในท้องถิ่น และส่วนภูมิภาค ที่เหลือส่งออก ด้วยผลิตผลปลอดสารพิษตกค้างเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก
* ที่วังน้ำเขียวทำมา ๙ ปี ปัจจุบันไม่สามารถผลิตพืชผักปลอดสารพิษตกค้างได้ทันกับผู้รับซื้อ
* เมื่อ พี่น้องเกษตรกรมีรายได้ดีขึ้นอย่างพอเพียงแล้ว ทางร้านจะทยอยนำสินค้าอื่นๆที่จำเป็นต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ ตลอดทั้งผิวพรรณความงาม และเครื่องอุปโภคในครัวเรือน ที่ล้วนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และสกัดจากสารธรรมชาติมาจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภคต่อไปอีกนับร้อยรายการ มาจำหน่ายให้แก้ลูกค้า
* โครงการช่วยยกระดับเศรษฐกิจในครัวเรือนให้แก่ พี่น้องเกษตรกร และพี่น้องร้านโชว์ห่วยยุคใหม่ เป็นเรื่องระดับชาติ ที่ไม่มีรัฐบาลไหนสนใจแก้ปัญหาให้แก่พี่น้องประมาณ ๓๕ ล้านคน
* นอกจากนั้น ทางบริษัทพันธมิตรขนาดใหญ่ของเรา เป็นบริษัทมหาชน ที่ดำเนินงานแนวเศรษฐกิจพอเพียง และโปร่งใส ต่อเชื่อมระบบบัญชีกับสำนักงานสรรพากรตลอดเวลา และเสียภาษีเงินได้รายวันให้แก่รัฐ และเป็นเจ้าของทีวีดาวเทียมอีก ๑ ช่อง ที่กำลังทดลองออกอากาศ เพื่อช่วยสนับสนุนการทำธุรกิจของพี่น้องร้านโชว์ห่วย และพี่น้องเกษตรกรที่ต้องการทำธุรกิจเสริมรายได้เป็นพันธมิตรฯกับร้านโชว์ ห่วย เสริมรายได้ให้แก่กันอย่างเป็นระบบที่โปร่งใสตรวจสอบผลงานของตนเองได้ตลอด เวลา
* สำหรับผู้สนใจทำกิจการร้านโชว์ห่วยยุคใหม่ ที่ร้านค้าปลีกต่างชาติไม่มีบริการ ได้ที่ คุณสมศักดิ์ อรรถวรรณ ผู้ดำเนินโครงการช่วยพี่น้องเกษตรกรและร้านโชว์ห่วยทั่วประเทศให้ต่างมี เศรษฐกิจพอเพียง ที่โทร ๐๘๗ ๕๑๗ ๐๗๒๓
* ส่วนพี่น้องที่ต้องการรายได้ ที่ยิ่งกว่าพอเพียง ก็สามารถเลือกตั้งเป้าหมายของตนเองได้ เนื่องจากเราจะสนับสนุนนาๆประเทศที่เป็นผู้ผลิตอาหารปลอดสารพิษตกค้าง ที่ผู้บริโภคทั่วโลกเรียกหา แต่ภาคการผลิตยังเริ่มต้นได้น้อยนิด เนื่องด้วยยังขาดตัวช่วยต่างๆที่มีประสิทธิภาพที่แท้จริง และยังไปเน้นทำธุรกิจในระบบทุนนิยมเสรี ซึ่งกำลังล่มสลายตั้งแต่ยอดคือธนาคารขนาดใหญ่เล็กต่างๆ ทะยอยลงมายังธุรกิจขนาดใหญ่ต่างๆโดยลำดับบนพื้นฐานความโลภในทุกๆธุรกิจ ลูกโป่งแห่งภาพลวงตาจึงแตกออกโดยพร้อมเพรียงกัน
* ประเทศไทยจะเจริญรุ่งเรืองได้ ทุกๆคนต้องปรับตัว มาดำเนิธุรกิจและมีชีวิต ตามรอยเท้าพ่อของแผ่นดิน นั่นเอง