เมื่อ 2-3 วันก่อน มีคนโทรศัพท์มาหาผมหลายคน หลังจากที่ผมเขียนเรื่องโลกร้อนไปแล้ว บอกว่าอยากรู้เรื่อง Sub-Prime บ้าง ว่า มันมีความเป็นมาอย่างไร ทำไมไทยและทั่วโลกจะต้องวิตกกังวลกับมันด้วย ทั้งๆที่ตั้งแต่เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
ผมเองก็รู้บ้างนิดหน่อย เลยไปศึกษาเพิ่มเติมจากหนังสือบ้าง จากผู้รู้บ้าง เขาบอกว่า “Sub-Prime” หรือ “ซับไพรม์” มีต้นตอมาจาก Sub-Prime Mortgage ในประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ สินเชื่อที่ปล่อยกู้ให้กับลูกหนี้ที่มีเครดิตทางการเงินต่ำกว่ามาตรฐาน หรือที่แปลตรงตัวว่า คุณภาพรองลงมา เขาใช้อสังหาริมทรัพย์ไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันครับ
บรรดาลูกหนี้ทั้งหลายที่อยู่ในกลุ่ม Sub-Prime นี้ สถาบันการเงินทั่วไปเขาไม่ปล่อยกู้เงินให้ จึงได้มีการตั้งบริษัทอิสระขึ้นมาปล่อยกู้แทน โดยเงินที่บริษัทเหล่านั้นนำมาปล่อยกู้ เขาก็ใช้วิธีออกตราสารหนี้ แล้วใช้อสังหาริมทรัพย์ของลูกหนี้นั่นแหล่ะค้ำประกันตราสารหนี้อีกที ถ้าหากว่าลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้เมื่อไหร่ บริษัทเหล่านั้นก็จะขายอสังหาริมทรัพย์ของลูกหนี้เพื่อนำเงินไปจ่ายคืนให้คนที่ซื้อตราสารหนี้ ดูแล้วก็เหมือนกับธนาคารที่ยึดทรัพย์ไปขายทอดตลาดแล้วเอาเงินไปจ่ายคืนให้กับผู้ฝากเงินครับ
แล้วทำไมปัญหาถึงได้เกิดขึ้น? เพราะอะไรหรือครับ
ก็เพราะว่าเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้วนี่เอง มีลูกหนี้ Sub-Prime เกิดขึ้นมากมาย เนื่องจากราคาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วก็มีการขายตราสารหนี้ออกไปทั่วโลก พอมาถึงช่วงนี้ เศรษฐกิจอเมริกาเริ่มมีปัญหา ลูกหนี้กลุ่ม Sub-Prime ก็เริ่มไม่จ่ายหนี้ มิหนำซ้ำ ราคาอสังหาริมทรัพย์ก็ตกลงอย่างรวดเร็ว บริษัทที่ปล่อยเงินกู้ก็เลยซวย 2 ต่อเลยครับ ต่อแรกคือถูฏเบี้ยวหนี้ ต่อสองคือ อสังหาฯราคาตก เลยทำให้เงินไม่พอจ่ายคืนให้กับผู้ซื้อตราสารหนี้
คราวนี้แหล่ะครับ บรรดาผู้ที่ซื้อตราสารหนี้ทั้งหลาย ก็เริ่มขาดทุนกันวินาศสันตะโรจากตราสารหนี้ที่ถือไว้ ก็ได้แก่พวกลงทุนเฮดจ์ฟันด์ทั้งหลาย แม้แต่กองทุน ” คาลิเบอร์โกลบอล อินเวสเมนต์ ” ของอังกฤษ ยังถึงขนาดต้องปิดตัวลง หรือกองทุนยักษ์ใหญ่อย่าง “แบร์สเติร์น “ ก็ยังต้องอัดฉีดเงินช่วยเฮดจ์ฟันด์ของตัวเองถึง 1.6 พันล้านดอลล่าร์ หรือประมาณ 5.2 หมื่นล้านบาท และที่ฝรั่งเศส ” บีเอ็นพี พาริบาส์ “ ก็ประกาศปิด 3 กองทุนชั่วคราว
แบบนี้เค้าเรียกว่า อเมริกาพาซวย
พอจะทราบกันแล้วใช่ไหมครับ ว่าทำไมทั่วโลกจะต้องไปวิตกกังวลกับมันด้วย ก็เพราะว่า ผลของมันทำให้หุ้นทั่วโลกตกระเนระนาด เมืองไทยก็พลอยโดนกับเขาไปด้วย ทั้งๆที่บ้านเราก็ไม่ได้มีใครไปถือตราสารหนี้ที่ว่านี้เลย แต่มันเป็นผลกระทบเพราะว่าพวกต่างชาติมันเกิดวิตกจริตขึ้นมาก็เลยเทขายยกตลาด บรรดาแมงเม่าทั้งหลายก็เลยซวยไปด้วย
เมื่อถามว่า งานนี้ใครซวยที่สุดหรือได้รับผลกระทบมากที่สุด ผมบอกได้เลยครับว่า ผู้ที่ซวยที่สุด ก็คือผู้ที่โลภมากที่สุด เพราะลงทุนมากที่สุดไงครับ โลภมาก ลาภหายนั่นแหล่ะ